Avatar

sweet-hwh

@sweet-hwh-blog / sweet-hwh-blog.tumblr.com

#오늘의_형원호
Avatar

[TransFiction] Inquistiveness [MonstaX]

Couple: hyungwonho (Wonho x Hyungwon), Minhyuk x Kihyun 3,330 words Rate: M Vampire AU

(คำนาม) ได้รับการสอบถาม การสืบหา และการแสวงหาความรู้

--

NOTE: - Translated into Thai from the original fiction of @vampirehansol http://archiveofourown.org/works/4999546 - ฟิคที่ถูกแปลทั้งหมดทางเราได้รับอนุญาตจากผู้แต่งแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกเรื่องและทุกตอนจะมีการแนบลิ้งค์ไปยังต้นฉบับ ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

- เป็นตอนต่อจาก Desperation นะคะ อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่นี่ค่ะ http://sweet-hwh.tumblr.com/post/137548589095/transfiction-desperation-monsta-x

--

"แกเป็นใคร?"

วอนโฮเลิกคิ้ว เอียงหัว ยิ้มเป็นเชิงถามคนตรงหน้าว่าล้อเล่นกันรึเปล่า? "ผมเป็นใครเหรอ?" เขาถามซ้ำ แล้วสูดหายใจ "ผมคาดว่าพวกคุณที่อยู่ทางเหนือคงจะไม่รู้จักสินะ ช่างเถอะ ผมชินวอนโฮ และขอบคุณที่ยอมให้ผมผ่านเข้ามา"

แวมไพร์ที่เฝ้าหน้าประตูเชิดริมฝีปาก "ไม่เห็นเคยได้ยิน บอสไม่มีนัดกับแก ถ้ามีฉันก็ต้องรู้"

"บางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องนัดล่วงหน้าครับ" วอนโฮกล่าวอย่างสุภาพ แวมไพร์ตรงหน้าถอนหายใจ

"เดี๋ยวฉันจะเข้าไปถามบอส รออยู่ตรงนี้"

วอนโฮพยักหน้าเข้าใจ มองแวมไพร์หายเข้าไปในแมนชั่นขนาดใหญ่ซึ่งวอนโฮก็รู้ดีว่าเป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อซ่อนรังใต้ดิน แวมไพร์แต่กำเนิดส่วนหนึ่งจะขึ้นมาบนพื้นดินได้ แต่แวมไพร์ที่มีพลังมากอย่างเช่นบอสของที่นี่จะไม่ขึ้นมา ไม่จำเป็นแล้ว และด้วยความสัตย์จริง วอนโฮรู้สึกแปลกๆ ที่ได้ขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้งหลังจากไม่ได้มาเป็นเวลาเกือบปี เพราะฮยองวอนและคนอื่นๆ มักจะลงไปหาเขาแทนที่จะเป็นไปในทางกลับกัน

วอนโฮมองภายนอกของตัวอาคาร ซุ้มหินอ่อนตั้งตระหง่านอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาสงสัยว่ามันจะราคาแพงขนาดไหน แล้วเจ้านายของที่นี่สร้างมันขึ้นมาหรือว่ามีอยู่แล้วกันนะ แล้วมันอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว มันคงจะเป็นคำถามที่ดีทีเดียวถ้าวอนโฮไม่ได้มาเพื่อคุยธุระสำคัญอย่างวันนี้

ฮยองวอนเล่าเรื่องเพื่อนฮันเตอร์คนใหม่ที่เขาได้พบให้วอนโฮได้ฟังคืนก่อน และถามว่าพอจะมีหนทางไหนที่จะสามารถช่วยกีฮยอนได้บ้าง และเขาก็ตอบไปว่ามี จริงๆ แล้วเขามีเพื่อนที่รู้จักกันมานานซึ่งเป็นบอสของรังแห่งนี้ มิตรภาพของพวกเขาลดลงไปเมื่อประมาณห้าสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีการติดต่อจากทั้งสองฝั่ง และวอนโฮเองก็สบายใจที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น มันไม่เป็นการดีเท่าไหร่ที่เราจะไปวุ่นวายกับการผูกมิตรไปทั่วเมื่อเราเป็นแวมไพร์ที่ค่อนข้างทรงพลัง อย่างเช่นเขาหรือบอสคนนี้ มันจะดีกว่าที่จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะถึงเวลาอันสมควรที่เราจะจบชีวิตลงด้วยฝีมือของตัวเองหรือใครสักคน

เขาหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อประตูไม้โอ๊คบานใหญ่เปิดออกอีกครั้ง แวมไพร์คนเมื่อกี้โผล่หัวออกมาบอกว่า "บอสบอกให้เข้ามาได้"

ข้างในแมนชั่นนี้สวยกว่าข้างนอกซะอีก และวอนโฮคงจะประเมินขนาดของรังที่นี่ผิดไปหน่อยซะแล้ว เพราะมีแวมไพร์หลายตนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่เขากำลังเดินเข้าไป พวกนั้นเป็นแวมไพร์แต่กำเนิดทั้งหมด วอนโฮบอกได้จากเสียงหัวใจเต้นที่เขาได้ยิน แวมไพร์เหล่านั้นมองมาทางเขาอย่างข้องใจ เพราะวอนโฮก็เป็นประเภทเดียวกันและพวกเขาคงจะสงสัยว่าวอนโฮมีธุระอะไรที่นี่

เขามอบยิ้มให้กับแวมไพร์เหล่านั้น และเห็นหลายตนหน้าเปลี่ยนสีชมพู ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ก็รู้สึกภูมิใจดีนะ

แวมไพร์เดินนำวอนโฮออกจากห้องนั่งเล่นไปสู่สิ่งที่คล้ายๆ จะเป็นห้องรับแขก มันทำให้วอนโฮนึกถึงบ้านของตัวเองเมื่อก่อน นานมาแล้ว เขามั่นใจว่าเขาเคยเห็นภาพวาดที่อยู่เหนือเตาผิงนั่นมาก่อนแน่ๆ

แวมไพร์ดึงพรมที่อยู่ใต้เท้าวอนโฮและทำให้เขาสะดุด ก่อนที่เขาจะก้าวออกไปและพึมพำขอโทษ แวมไพร์ตนนั้นไม่ได้สนใจและโยนพรมออกไปข้างๆ เผยให้เห็นประตูกลที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็ง แน่ล่ะ

วอนโฮสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมพรมถึงกลับมาอยู่ที่เดิมถ้าคุยกับหัวหน้าแล้ว แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจมัน

ผู้นำทางของวอนโฮเปิดประตู ติดขัดเล็กน้อย เขาผายมือให้วอนโฮลงไปก่อน วอนโฮเห็นบันไดทอดยาวลงไป แต่สุดท้ายปลายทางก็คือความมืดอยู่ดี เขาลงมาอย่างสบายๆ และเอามือล้วงกระเป๋าในระหว่างที่รอให้ผู้นำทางตามลงมา สายตาปรับเข้ากับความมืดได้อย่างรวดเร็วและเขาเห็นว่าผู้นำทางอยู่ๆ ก็เดินหายไปตามทางเดิน

"ขอโทษนะครับ ขอรบกวนถามอะไรหน่อย" วอนโฮกล่าว พยายามเดินให้ทัน "คุณชื่ออะไร?"

"ผมเหรอ?" แวมไพร์ที่อยู่ตรงหน้าถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เสียงตอบตกลงของวอนโฮดังก้องภายในโถงทางเดิน "ซุนยอง มีอะไรรึเปล่า?"

"อ่า ไม่มีอะไรครับ คือผมไม่ได้เจอซึงชอลมานานแล้ว ผมเลยอยากจะทราบว่าเขาอยู่กับใครบ้าง" วอนโฮตบมือที่หน้าขาตัวเองอย่างใจลอย มองรอบๆ โถงทางเดินที่จืดชืด

ที่ปลายของทางเดินก็พบกับห้องขนาดใหญ่ที่มีระดับมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชั้นหนังสือขนาดใหญ่ทอดยาวขึ้นไปจรดเพดานสูง และพรมอยู่ใต้เฟอร์นิเจอร์ที่ตั้งอยู่ส่วนกลางของห้อง เป็นครั้งแรกที่วอนโฮไม่ได้สนใจสิ่งของ แต่กลับมองไปที่บุคคลที่อยู่ที่นั่นแทน

เขาเห็นซึงชอลก่อนเป็นคนแรก ผมของเขาไม่ใช่สีเงินแต่กลับมาเป็นสีดำอีกครั้งแล้ว ดวงตาที่ดูเหนื่อยแต่ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยน ซึงชอลลุกขึ้นเมื่อวอนโฮก้าวเข้ามาหา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม และกอดวอนโฮอย่างอบอุ่น

"วอนโฮ" ซึงชอลกล่าว เสียงของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ใช่แวมไพร์ที่วอนโฮเคยรู้จักอีกแล้ว แต่ภายนอกยังเหมือนเดิม "ดีใจที่ได้เจอนายนะ ลมอะไรหอบมาล่ะเนี่ย?"

"ผมมีธุระที่จะต้องคุยกับคุณ เอ่อ... ขอ-- ขอคุยกันตามลำพังได้ไหม?" วอนโฮถาม พลางมองไปที่แวมไพร์ตนอื่นๆ ที่นั่งร่วมในห้อง

ซึงชอลผายมือเพื่อให้พวกเขาลุกและออกจากห้องไป แวมไพร์เหล่านั้นทำตามอย่างรวดเร็ว ซึงชอลกลับไปนั่งที่โซฟาและวอนโฮนั่งลงตรงข้ามเขา "มีธุระอะไรรึ วอนโฮ?"

"ผมมี... ผมมีแฟน ชื่อฮยองวอนน่ะ แล้วมีฮันเตอร์คนหนึ่งมาหาเขา... ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่" วอนโฮเกาท้ายทอย พยายามนึกย้อนไปว่าฮยองวอนเล่าอะไรให้เขาฟังบ้าง "เหมือนกับว่าคู่หูของฮันเตอร์คนนั้นจะ-- เหมือนจะโดนฆ่า หรือไม่ก็อาจจะถูกเปลี่ยน แล้วเขาก็กำลังหาคำตอบ แต่ฮยองวอนเองก็ไม่รู้ เขาเลยมาถามผมว่าจะพอติดต่อใครเพื่อสืบเรื่องนี้ได้บ้าง ก็นะ"

"แล้วพวกเขาไปลาดตระเวนกันถึงไหน? บางทีอาจจะพอมีคนที่ฉันรู้จักพอจะช่วยอะไรได้" ซึงชอลเอนหลังลงพิงโซฟา มองวอนโฮด้วยสายตาง่วงๆ

"ผมก็ไม่รู้สิ เหมือนจะลงไปทางใต้ เลยกวางจูไป คิดว่านะ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น"

"แล้วชื่อของฮันเตอร์พวกนั้น?"

"ยูกีฮยอนคือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และอีกคนที่คาดว่าตายแล้วชื่อลีมินฮยอก"

ใบหน้าของซึงชอลครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะอ้าปาก พยักหน้า "ชื่อคุ้นอยู่นะ เหมือนฉันจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน... บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทางใต้ที่ฉันเคยได้ยินข่าว ฉันจะติดต่อกลับไปแน่นอนถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติม แต่..." ซึงชอลยกยิ้มมุมปาก "แฟนเหรอ?"

วอนโฮเผลอยิ้มออกมา รู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่างกาย "ใช่ แฟน เขาเป็น-- เอ่อ เป็นมนุษย์น่ะ"

"ฉันกะแล้ว มีแค่นายเท่านั้นแหละที่จะอ่อนโยนกับมนุษย์น่ะ" ซึงชอลยืดตัวตรง หันหน้ามาหาวอนโฮ "เจอกันได้ยังไง?"

วอนโฮถอนหายใจ นึกย้อนไป "ผม... ผมเจอเขา ในคืนนึง เขากำลังเดินกลับจากมหา'ลัย เขาช่างงดงาม ซึงชอล แม้ว่าผมจะเอารูปเขาให้คุณดู คุณก็คงไม่เข้าใจว่าสำหรับผมเขางดงามมากขนาดไหน ผมไม่-- ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมเฝ้าดูเขาเป็นอาทิตย์ และสุดท้ายก็ฉุดเขาเข้าไปในตรอก บอกว่าฉันมีไอเดีย ผมไม่รู้ว่าเขากลัวไหม แต่เขาตกลง... แล้วเขาก็ชอบผม เราเป็นเพื่อนกัน สุดท้ายก็กลายมาเป็นคนรัก"

ซึงชอลยิ้ม "น่ารักจริงๆ ฉันดีใจที่นายเจอใครสักคน แต่นายมาถึงที่นี่ คงจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการเดินทางกลับก่อนเวลาฟ้าสาง นายยังใช้เบอร์โทรศัพท์เดิมอยู่รึเปล่า เผื่อฉันจะมีธุระติดต่อ"

"ไม่ครับ ผมย้ายที่อยู่ไปสองครั้งแล้วหลังจากตอนนั้น" วอนโฮล้วงกระเป๋า แล้วโชคดีจริงๆ ที่เจอกระดาษและปากกา เขาจดเบอร์โทรศัพท์ให้ "โทรหาผมถ้าคุณทราบอะไรเพิ่มเติม หรือถ้าอยากจะคุยเฉยๆ ก็ได้"

ซึงชอลพยักหน้า มองเบอร์โทรศัพท์บนกระดาษ "โอเค ได้เลย ดีใจที่ได้เจอนายนะ วอนโฮ"

--

วอนโฮตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ ตอนแรกเขากะจะไม่รับ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าอาจจะเป็นซึงชอล เขายันตัวขึ้นด้วยศอกข้างเดียว เอื้อมผ่านฮยองวอนเพื่อไปเอาโทรศัพท์ กรอกเสียงง่วงๆ ทักทายปลายสาย

"อ่า... วอนโฮเหรอ?" ปลายสายเป็นซึงชอลจริงๆ ด้วย "ขอโทษนะ ฉันคาดว่านายคงหลับอยู่ ฉันก็เพิ่งตื่นเหมือนกัน แต่... ฉันมีข้อมูลสำคัญที่จะต้องบอกนาย"

"ไม่เป็นไร มีอะไรเหรอ?"

"ฉันมีเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ กับนาย จีฮุนกับ... คือ เมื่อเร็วๆ นี้ มันมีบางอย่างทำให้คนที่รังของเขา เอ่อ ต้องถูกดูแล เพราะมีพฤติกรรมเสี่ยงน่ะ"

วอนโฮรู้ว่า 'ถูกดูแล' หมายถึง 'ถูกจับแยกชิ้นส่วนแล้วเผาไฟ' "อ่าฮะ แล้วไงต่อ?"

"เท่าที่รู้มา พฤติกรรมเสี่ยงที่ว่าหมายถึงเขาอยากจะสร้างรังของตัวเอง หรือไม่ก็อยากได้เพื่อน แต่ ก็แน่นอน เขาพยายามจะเปลี่ยนคนพวกนั้น มีแค่สามคนที่รอด... จีฮุนเลยเก็บพวกเขาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ออกไปทำร้ายใคร และเขาเชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะใช่มินฮยอกที่นายตามหา"

วอนโฮสูดหายใจเข้า พยักหน้าแม้ว่าซึงชอลจะไม่เห็น "โอเค โอเค แล้ว-- แล้วเมื่อไหร่เราจะมั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง?"

"ฉันให้เบอร์นายกับจีฮุนไปตอนที่เขาโทรมาหาฉัน ฉันเพิ่งวางสายจากเขาไปเมื่อกี้นี่เอง... ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องโทรมาตอนหกโมงเช้า แต่ ยังไงซะ เขาบอกว่าเขาจะโทรหานายเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว... แต่เขายังบอกอีกว่ามันก็แล้วแต่ว่ามินฮยอกอยากจะติดต่อกลับด้วยรึเปล่า"

"อืม แน่นอน ผมคาดว่ามันคงจะยากที่จะกลับมาเจอคู่หูของตัวเองหลังจากถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์แล้ว แย่นะ ผมหวังว่าเขาจะไม่เป็นไร"

"ใช่ อืมม ฉันจะให้นายไปนอนต่อแล้วล่ะ ขอให้เป็นวันที่ดีนะ วอนโฮ"

"เช่นกันครับ"

วอนโฮยังคงให้โทรศัพท์แนบที่แก้มของเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ฮยองวอนขยับตัวอยู่ข้างๆ เขา ยกเท้าขึ้นมาลูบข้อเท้าข้างหนึ่งของวอนโฮ

"เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ?" ฮยองวอนพึมพำ รู้เลยว่าเพิ่งตื่น

วอนโฮลูบผมนุ่มของคนข้างๆ ยิ้มเมื่ออีกคนขยับเข้ามาใกล้มือของเขา "ซึงชอลน่ะ บอสของรังที่ใหญ่ที่สุดในโซล ผมไปเจอเขามาเมื่ออาทิตย์ก่อน ที่ผมเล่าให้ฟังไง"

"อืมม ใช่ เขารู้อะไรบ้างรึยัง?"

"ครับ แน่นอน เดี๋ยวเราจะได้รู้มันในเร็วๆ นี้ แต่คิดว่าเจอมินฮยอกแล้ว" วอนโฮกล่าวเพิ่ม "อย่าเพิ่งบอกกีฮยอนนะ เพราะเราก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่... ขอรูปมินฮยอกมาจากเขาด้วยก็ดี เผื่อไว้ เราจะได้แน่ใจ"

ฮยองวอนพยักหน้าแล้วหลับต่อ วอนโฮสงสัยว่าคนตรงหน้าเขาจะจำบทสนทนาเมื่อครู่ได้หรือไม่ แต่เขาก็เต็มใจที่จะทวนมันอีกครั้งอยู่ดี

--

เพียงแค่เจอลีจีฮุนแค่ไม่กี่นาที วอนโฮสามารถบอกได้เลยว่า หนึ่ง เขาอาจจะเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดที่เขาเคยพบมา สอง เป็นคนที่มีพลังงานล้นที่สุดที่เคยพบมาเช่นกัน และสาม เขายังเป็นคุณพ่อที่ภาคภูมิใจสุดๆ เวลาพูดถึงเด็กๆ ในรังของเขา

จีฮุนหยิกแก้มแวมไพร์ทุกตนที่เขาได้พบและแนะนำชื่อของพวกเขาให้วอนโฮได้รู้จักอย่างร่าเริง มันแปลก แต่ความสุขของจีฮุนได้แพร่มายังวอนโฮด้วยเพราะนั่นทำให้เขาหลุดยิ้มออกมา

"ผม-- ผมขอโทษจริงๆ ที่ต้องขัดนะครับ" วอนโฮพูดอย่างสุภาพในขณะที่จีฮุนกำลังหยิกแก้มแวมไพร์ที่เขาแนะนำว่าชื่อซอกมิน "แต่ผมมีธุระ และ--"

"โอ้ ใช่เลย" จีฮุนตอบ ปล่อยมือจากซอกมินและผายมือให้วอนโฮตามเขามา "มินฮยอกนอนเยอะมาก แม้กระทั่งตอนกลางคืน แต่เขายิ้มเก่งมากๆ เข้ากับที่นี่ได้ดี ช่างเถอะ ผมพูดมากไปแล้ว มาเถอะ"

วอนโฮค่อนข้างเห็นด้วยกับส่วนท้ายของประโยค เขาเดินตามจีฮุนขึ้นบันได้มาแล้วเดินไปตามทางเดิน บ้านหลังนี้ค่อนข้างเล็กกว่าบ้านของรังหลักที่โซล ดูเหมือนจะเป็นบ้านพักอาศัยมากกว่าและค่อนข้างกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อม หรือบางที จีฮุนอาจจะไม่ได้สนใจของตกแต่งสไตล์เก่าๆ

พวกเขามาหยุดที่ประตูสุดทางเดิน จีฮุนเคาะประตู ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วพูด "มินฮยอก มีคนมาหาแหน่ะ! อยากคุยด้วยรึเปล่า?"

มีเสียงตอบกลับมา "ด-- ได้ครับ"

จีฮุนเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป วอนโฮตามไปติดๆ เขาสบตากับแวมไพร์ที่นั่งอยู่บนเตียง

มินฮยอกอ้าปากค้าง "แม่งเอ๊ย คุณคือวอนโฮใช่มั้ย ผม-- เรา-- พวกเรามีประวัติคุณยาวมากๆ เลย ผมมีหน้าที่เป็นคนอัพเดทมันเอง"

วอนโฮยิ้ม เมื่อครู่เขาเห็นปฏิกิริยาของมินฮยอก นั่นสะกิดใจเขาเล็กน้อย "หวังว่าคุณคงทำได้ดีนะ เป็นไงบ้างล่ะ มินฮยอก?"

มินฮยอกก้มหน้ามองมือของเขา มันซีดขาว เส้นเลือดที่ตายไปแล้ว เก่าและกลายเป็นสีน้ำเงินอยู่ใต้ผิวหนัง เขาหยิบด้ายที่รุ่ยออกมาจากผ้าห่ม "ผ-- ผมสบายดี จีฮุนช่วยเหลือผมเยอะมาก มันเคยแย่... แต่ตอนนี้ผมสบายดี"

"จริงๆ" จีฮุนพูด ก้าวเข้ามาลูบหัวมินฮยอกเบาๆ "แต่ก่อนเขาร้องไห้บ่อยๆ น่าสงสาร ทำให้ความพยายามของฉันในการห้ามเขาฆ่าคนแทบจะสูญเปล่า ตอนนี้ ดูสิ น่ารักสดใส! เพราะฉันเองแท้ๆ" จีฮุนแสร้งทำเป็นปาดน้ำตา มินฮยอกยิ้มให้เขา

"ผมหมายถึง เขาก็ไม่ผิดหรอก" มินฮยอกพูด มองวอนโฮอีกครั้ง "ใครตามหาผมเหรอ? จริงๆ ผมไม่น่าถามเลยนะ"

วอนโฮพยักหน้า "เขาเกือบจะเสียงานไปแล้ว" เขาพูดเสียงเบา มินฮยอกถอนหายใจ

"เพราะผมคนเดียว มันแย่มาก ผมไม่-- ผมไม่รู้ว่าผมอยากเจอเขาไหม" เขาพูดขึ้นมาในที่สุด ตามองที่มืออีกครั้ง "ถ้าผมทำร้ายเขาล่ะ ผม-- ผมทนไม่ได้หรอก ผม..."

"ไม่ต้องเป็นห่วง" วอนโฮพูด และจีฮุนถือโอกาสนี้ถอยออกมา เขาเดินผ่านวอนโฮและปิดประตูห้องให้ "ผมเชื่อว่าคุณสามารถควบคุมตัวเองได้มากพอที่จะเจอกับมนุษย์ได้แล้ว คุณทานอาหารเพียงพอสำหรับความต้องการของแวมไพร์เกิดใหม่ และที่สำคัญ ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวเอง... คุณก็จะทำมันได้"

มินฮยอกหายใจสั่นๆ บางทีนั่นอาจจะเป็นนิสัยไปแล้ว "คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?"

วอนโฮพยักหน้า เดินเข้ามานั่งที่เตียง ข้างๆ กับมินฮยอก เขาเห็นน้ำตาของคนตรงหน้า และเอื้อมมือไปเช็ดให้โดยอัตโนมัติ "กีฮยอนคิดถึงคุณ มากเลยด้วย เขาจะต้องมีความสุขแน่ๆ"

"พระเจ้า ผมเพิ่ง-- พระเจ้า คุณไม่เข้าใจ ผมไม่... ผมรู้สึก... อาย ผมอาย" มินฮยอกเอามือปิดหน้า กดปลายนิ้วลงที่เปลือกตา "ผมเรียนจบมาเป็นฮันเตอร์ด้วยคะแนนสูงสุดแล้วผมก็ละอายใจที่ตัวเองถูกฆ-- ฆ่า"

"คุณไม่ต้องอธิบายให้ผมฟัง" วอนโฮพูดเบาๆ "ผมคิดว่ากีฮยอนต่างหากที่สมควรจะฟัง เขารออยู่แน่ๆ รออย่างมีความหวัง รอมาเป็นปีแล้ว"

"ผมรู้สึกแย่มาก" มินฮยอกกระซิบ ยังคงเอามือปิดหน้า "ที่ผมไม่ได้ติดต่อเขาเพราะผมกลัวว่าเขาจะคิดว่ายังไง ผมแค่-- ผมอยากใช้ชีวิตต่อไป ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน แต่ผมก็จะต้องก้าวต่อไป"

"ผมบอกไม่ได้หรอกนะว่าผมเข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง คงยากที่จะทำเป็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรทั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ใช่ไหม?"

มินฮยอกพยักหน้า และเมื่อเขาเอามือออกจากใบหน้า มีเลือดอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา "ผมไม่ชอบเลย" เขาพึมพำตอนที่เช็ดมือที่เปื้อนลงบนกางเกงของตัวเอง

"เดี๋ยวมันจะดีขึ้น" วอนโฮพูดยิ้มๆ ตอนที่มินฮยอกเงยหน้ามามองเขา "เดี๋ยวผมจะติดต่อกลับมา มินฮยอก หวังว่าจะเป็นในอาทิตย์นี้ กีฮยอนต้องทำงาน คุณก็น่าจะรู้ แล้วเขาก็มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับหัวหน้าของเขาเท่าไหร่"

"ครับ ใช่ ผมรู้ว่าฮยอนอูค่อนข้างเคร่ง... ผมเข้าใจ ผมคิดว่าผมเองก็ต้องการเวลาเตรียมใจเหมือนกัน" มินฮยอกถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เอนตัวลงพิงกับผนัง "ขอบคุณนะวอนโฮ ผม-- ขอบคุณ"

วอนโฮลุกขึ้น รู้สึกประหม่าเล็กน้อย "ผมไม่ชอบที่ตัวเองจะต้องรีบออกไปแบบนี้ แต่คุณก็น่าจะรู้--"

"เดี๋ยวก็เช้า" มินฮยอกพูดจบประโยคให้ด้วยรอยยิ้ม วอนโฮพยักหน้า

"ใช่ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว ขอให้ปลอดภัยนะมินฮยอก"

"เหมือนกันนะ"

วอนโฮกลับออกมาและขอบคุณจีฮุนในระหว่างนั้น รีบออกไปก่อนที่จีฮุนจะทำให้บทสนทนามันยืดเยื้อไปมากกว่านี้ วอนโฮไม่อยากจะโกหก เขาต้องกลับก่อนที่พระอาทิตย์เริ่มจะขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาจะลำบาก ป่วยเป็นสัปดาห์และผิวหนังไหม้ หรือแย่กว่านั้น

เขาตระหนักถึงการตามหามินฮยอกในระหว่างที่กำลังเดินไปตามถนน กระชับเสื้อโค้ทให้แนบกับตัวมากขึ้น ไม่ต้องเดาเลยว่ากีฮยอนจะต้องดีใจมากแน่ๆ แต่นั้นก็หมายถึงทั้งเขาและมินฮยอกทั้งคู่จะต้องเจอรับมือกับการก้าวต่อไปข้างหน้า ถ้าพวกเขาเลือกแบบนั้น วอนโฮไม่สามารถจินตนาการความเจ็บปวดที่ตามมาได้เลย การยังคงอยู่กับเพื่อนรัก แม้ว่าตัวเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว หรือการหายตัวไปแล้วต่างคนต่างใช้ชีวิตต่อไป

วอนโฮถอนหายใจ เขาหวังว่าทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร

ติดแท็ก #moodswingstheseries ไว้สกรีมหรือคอมเม้นติชมได้เลยนะคะ :)

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

Avatar

[TransFiction] Desperation (Monsta X)

Couple: hyungwonho (Wonho x Hyungwon), Minhyuk x Kihyun 1,789 words Rate: M Vampire AU

 (คำนาม) สภาพสิ้นหวัง มักจะก่อให้เกิดการกระทำที่ไม่รอบคอบหรือรุนแรง

(สิ่งเดียวที่กีฮยอนรู้สึกเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง)

 NOTE: - Translated into Thai from the original fiction of @vampirehansol http://archiveofourown.org/works/4988629 - ฟิคที่ถูกแปลทั้งหมดทางเราได้รับอนุญาตจากผู้แต่งแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกเรื่องและทุกตอนจะมีการแนบลิ้งค์ไปยังต้นฉบับ ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

- เป็นตอนต่อจาก Fear นะคะ อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่นี่ค่ะ http://sweet-hwh.tumblr.com/post/137547876395/transfiction-fear-monsta-x

 --

  กีฮยอนคุ้นเคยกับเก้าอี้ในห้องทำงานของหัวหน้าฮันเตอร์เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเพราะมารายงานภารกิจ การโดดงาน หรือปล่อยให้เรื่องอื่นๆ ...เข้ามามีอิทธิพลเหนือหน้าที่การงานของเขา ทำให้เขาแทบจะต้องเข้ามาในห้องทำงานของฮยอนอูอย่างน้อยเดือนละครั้ง

  โดยเฉพาะในเวลานี้ ฮยอนอูดูไม่สบายใจเอาเสียเลย เขาดูจริงจังมากกว่าปกติและเริ่มพูดก่อนที่กีฮยอนจะนั่งลงซะอีก "ผมเข้าใจว่าคุณติดต่อกับใครบางคนที่มีความสัมพันธ์กับทางใต้ดินโดยไม่ได้รับการอนุมัติ หรือการอนุญาต หรือคำสั่งโดยตรงจากผม ใช่ไหม?"

  ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ "ครับ"

  ฮยอนอูสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เสยผม "กีฮยอน ผมไม่จำเป็นต้องถามแล้วล่ะว่านายทำไปทำไม เพราะผมเองก็รู้ดี แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปไล่ตามคนที่เขาไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณอยากจะรู้หรอกนะ"

  กีฮยอนสะดุ้ง และพยายามที่จะไม่แสดงออกมา "ผมเคยบอกคุณไปแล้ว ว่าผมจะไม่ยอมแพ้จนกว่าผมจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

  ฮยอนอูจ้องเขา กะพริบตาช้าๆ "โอเค เข้าใจแล้ว แต่อย่าให้มันเกิดเรื่องอันตรายกับทั้งคนอื่นแล้วก็ตัวเองด้วยนะ"

  กีฮยอนได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ มาเป็นเวลาประมาณปีครึ่งเห็นจะได้ เขาเรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่ควรทำคือการพยักหน้าและไม่ตอบอะไรกลับไป

  เขากลับมาที่โต๊ะทำงาน มีเอกสารหลายอย่างอยู่ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง รายงานการออกล่าที่ไร้ผลเป็นเวลาหลายเดือนย้อนหลัง การออกไปทำภารกิจและงานเอกสารต่างๆ ทำให้เขาต้องแยกจากฮันเตอร์คู่หูของเขา เมื่อก่อน เพื่อนๆ จะช่วยเขาจัดการมัน แต่ความช่วยเหลือเหล่านั้นก็หมดอายุไปได้ประมาณเจ็ดเดือนก่อนแล้ว

  กีฮยอนมองไปที่แบบฟอร์มว่างเปล่า มีตราประทับวันที่ที่มุมกระดาษทั้งของคืนนี้ อาทิตย์ก่อน ห้าเดือนที่แล้ว หนึ่งปีก่อน เขาโน้มตัวฟุบหน้าลงกับกองเอกสารเหล่านั้นแล้วถอนหายใจออกมา

 เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง กีฮยอนยังมีเบอร์โทรศัพท์ของมินฮยอก เมมชื่อว่าฮยอกกี้และมีอีโมจิรูปพิซซ่าต่อท้าย เขายังหวังว่าวันหนึ่งมินฮยอกจะส่งข้อความมาหาเขา หรือโทรหา อะไรก็ได้ เพื่อบอกให้กีฮยอนรู้ว่ามินฮยอกยังสบายดี

  กีฮยอนได้รับอนุญาตจากฮยอนอูให้นำแฟ้มคดีเหล่านั้นมาไว้ที่บ้านของเขาได้ เขาหยิบมันมาอ่านบ้างในบางเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะจำมันได้ขึ้นใจแล้วก็ตาม หน่วยออกลาดตระเวนที่ 6 ยูกีฮยอนและลีมินฮยอกได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเมืองทางด้านตะวันออก รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ในแฟ้มที่แนบมา

  สถานการณ์... จริงๆ มันเป็นมากกว่าสถานการณ์อีก มันเป็นการสูญเสียฮันเตอร์คนแรกในรอบ 15 ปี กีฮยอนสูญเสียเพื่อนรัก (และยังเป็นทุกอย่างของเขาด้วย) มันเป็นมากกว่าสถานการณ์ กีฮยอนยังเก็บเสื้อที่มีรอยเลือดไว้ในตู้เสื้อผ้าอยู่เลย

  แล้วเขายังเลื่อนดูบทสนทนาที่ผ่านมาว่ามินฮยอกจะซื้อขนมปังประเภทไหน แล้วให้กีฮยอนเลือกว่าจะดูหนังอะไรในระหว่างที่มินฮยอกออกไปซื้อ (ซึ่งมินฮยอกตกลง และถ้ากีฮยอนจำไม่ผิด เขาเลือกหนังสยองขวัญที่ทำให้มินฮยอกขวัญเสียเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว)

  เมื่อม่านน้ำบางๆ บดบังการมองเห็นของกีฮยอน เขาปิดหน้าจอ และโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงและทิ้งตัวตามลงไป

  มีคนอย่างน้อยประมาณห้าคนที่พยายามบอกเตือนเขาแบบไม่สุภาพเท่าไหร่ว่าให้ยอมแพ้ซะและใช้ชีวิตต่อไป เขาปฏิเสธ

  --

  เขาถูกตำหนิ และให้ทำงานเอกสารประมาณสองสามอาทิตย์ ให้คู่ของเขาไปทำงานกับเด็กใหม่ ยังไงก็ดีต่อเป้าหมายของกีฮยอนทั้งนั้น

  ในขณะที่เขาอยากจะเป็นคนไปเจอกับฮยองวอนตอนที่หมอนั่นเข้ามา และถึงแม้ว่าจะเป็นฮยอนอูที่ได้คุยกับเขา มันก็ไม่ได้ทำให้แผนของกีฮยอนที่วางไว้เสียไปเลย ไม่เลย

  เขารู้ว่าฮยองวอนหรือไม่ก็แฟนจอมดูดเลือดของเขารู้อะไรบางอย่าง เขาแค่ต้องหาให้ได้ว่ามันคืออะไร

  แต่กีฮยอนก็ได้รู้ว่า ตอนตีสามที่เขาได้คุยกับฮยองวอนนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่และเขาเองไม่ได้มีแผนสำรองหรืออะไรเลย ไม่ใช่ว่าแฟนจอมดูดเลือดจะโผล่ขึ้นมาจากใต้ดินซะเฉยๆ จริงๆ ก็ไม่มีใครเห็นเขาขึ้นมาเกือบสองปีแล้ว คงไม่มีโอกาสที่เขาจะจับมินฮยอกมากนัก ไม่ต้องพูดถึงแรงจูง-- แวมไพร์อายุเป็นร้อยปีใช่ว่าจะชอบเอาความปลอดภัยของตัวเองมาเสี่ยง และการพยายามรักษาฮยองวอนที่มีค่าของเขาไว้ เพื่อเป็นอาหารหรือเป็นตัวส่งสารถึงสำนักงานใหญ่

  แต่กีฮยอนก็ยังอยากจะคุยกับหนึ่งในพวกมัน

  เขาเลยส่งข้อความไปหาฮยองวอนในวันหยุดปลายสัปดาห์ เพราะฮยองวอนเคยส่งข้อความมาหาเขาว่า จำไว้นะ ฉันมีเรียนตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ นายทำฉันประสาทไปหมดแล้ว หยุดส่งข้อความมาซักที และฮยองวอนตอบตกลงที่จะไปเจอกับกีฮยอนแบบที่สาธารณะ มันน่ารำคาญ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะฮยองวอนไม่ค่อยเชื่อใจในตัวเขาเท่าไหร่

  กีฮยอนลืมไปว่าครั้งก่อนที่เขาไปเจอฮยองวอน ตอนนั้นมันมืดและเขาเองก็ปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง ฮยองวอนมองหน้าเขาแปลกๆ และค่อยๆ เดินเข้ามาหาที่โต๊ะก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกีฮยอน

  "หวัดดี ฉันชื่อยูกีฮยอน เป็นฮันเตอร์ คนเดียวกันกับที่เจอกับนายอาทิตย์ก่อน" กีฮยอนพูดเสียงแข็ง เขาไม่อยากจะเป็นมิตรกับคนตรงหน้าเท่าไหร่

  ฮยองวอนเองก็เช่นกัน "อ่า ไอ้บ้านี่เอง ดีใจที่ได้เจอ นายต้องการอะไร?"

  ตรงประเด็น น่าชื่นชมมาก "ก็มีอะไรจะถามหน่อย อย่างที่ฉันบอก ฉัน--" กีฮยอนหยุดหายใจ หันหนีจากสายตาแข็งกระด้าง ของฮยองวอน "ฉันกำลังพยายามไขว่คว้าอะไรที่จับต้องไม่ได้ นายเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด นอกจากเดทกับแวมไพร์ แล้วคุยกับนายมันก็ง่ายกว่าคุยกับเขาอยู่แล้ว นายอาจจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย และ... บางทีอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่จะถามเรื่องนี้"

  สายตาของฮยองวอนดูเหมือนจะอ่อนลง แต่คำพูดคำจายังแข็งทื่อเหมือนเดิม "อ่าฮะ ต่อดิ"

  กีฮยอนสูดหายใจเข้าอีกครั้ง "ฉ-- ฉันมีคู่หู ชื่อของเขา-- คือลีมินฮยอก เขา... หายตัวไป ประมาณปีครึ่งแล้ว พวกเราไปออกลาดตระเวนด้วยกัน แล้วเขาก็... เขาโดนจับตัวไป มันมีรอยคราบเลือด แต่เราไม่เคยเจอศพของเขา และฉันยังหวังว่าเขาจะมีชีวิตอยู่"

  นานแล้วที่กีฮยอนไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา คำพูดธรรมดาๆ ที่ฉาบไปด้วยความเจ็บปวดและขมขื่น พยายามไม่รับรู้อะไรเพื่อหวังว่ามินฮยอกจะยังมีชีวิตอยู่ มันเจ็บปวด เหมือนถูกตัดแขน

  สายตาของฮยองวอนอ่อนลงจริงๆ ในครั้งนี้ "อา มันแย่นะ ฉันไม่รู้เรื่องการล่าอะไรนั่นเลย ไม่จริงๆ แต่... พวกนายต้องสนิทกันมากแน่เลย ใช่มั้ย ต้องสนิทกันถึงจะทำงานอะไรแบบนั้นได้" กีฮยอนพยักหน้าเป็นคำตอบ ไม่พูดอะไร ฮยองวอนประสานมือไว้ที่ท้ายทอย "แล้ว นายอยากจะถามอะไรฉัน?"

  "นายเคยได้ข่าวอะไรในช่วงเวลานั้นบ้างมั้ย? แบบข่าวคนหาย? การกระทำน่าสงสัยในละแวกที่นายอยู่ ไม่เลยเหรอ?" นั่นทำให้กีฮยอนรู้สึกหมดหวังมากขึ้นไปอีก แต่หลังจากนั้นเขาก็รับมันได้ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี

  ฮยองวอนเริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหัวช้าๆ "ไม่ ช่วงนั้น... ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบไฟนอลพอดี ฉันโด๊ปกาแฟหนักมาก นอกจากการสอบกับการพยายามให้รูมเมทของฉันมีชีวิตอยู่ แค่นั้นก็ยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นแล้วล่ะ โทษที"

  กีฮยอนถอนหายใจ เสยผมไปข้างหลังอย่างลวกๆ เหมือนเขากำลังเจอเข้ากับทางตัน ก่อนหน้านี้เขามีคำถามมากมายที่อยากจะถามมาเป็นเดือนที่ทั้งไร้คำตอบและไม่ได้ข้อสรุป แล้วตอนนี้เขาก็ลืมมันไปหมด และมันโคตรน่าหงุดหงิด

  ฮยองวอนสังเกตว่ากีฮยอนกำลังเครียด เพราะเขาถอนหายใจ ทิ้งแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง "วอนโฮน่าจะรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าฉัน ฉันไม่รู้พวกเบื้องหลังอะไรนั่นหรอก เขามีเพื่อนเยอะ บางมีอาจจะมีคนรู้อะไรบ้างก็ได้ เดี๋ยวฉันถามเขาให้แล้วจะกลับมาบอกนายอีกที" เขาไม่ได้ให้โอกาสกีฮยอนได้ตอบอะไรเลยด้วยซ้ำ "งั้นเดี๋ยวเลี้ยงข้าวละกัน"

  กีฮยอนอยากจะปฏิเสธ แต่จริงๆ แล้วเขารู้สึกยินดี เขาแอบหวังไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฮยองวอนจะเสนอไปคุยกับวอนโฮให้เขา เพราะด้วยความสัตย์จริง ความคิดที่จะอยู่ลำพังกับแวมไพร์ ถึงแม้ว่าจะด้วยเรื่องทางธุรกิจก็เถอะ มันทำให้เขากลัวเอามากๆ ถึงเขาจะเคยเรียนมาสี่ปี ฝึกมาอีกสองปี แต่เขาก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี

  กีฮยอนอยากจะขอบคุณฮยองวอน เขาไม่ได้อยู่นาน และออกจากที่นั่นเพื่อไปสำนักงานใหญ่ตอนสิบโมงเช้า เพื่อจัดการงานเอกสารให้สำเร็จสักครั้งนึง

  ขอบใจละกัน ไอ้บ้า

ติดแท็ก #moodswingstheseries ไว้สกรีมหรือคอมเม้นติชมได้เลยนะคะ :)

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

Avatar

[TransFiction] Fear (Monsta X)

Fear (ความกลัว)

Couple: hyungwonho 3,711 words Rate: M Vampire AU

(คำนาม) ความรู้สึกที่เกิดจากความเชื่อว่าจะเกิดสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด, ความเครียด, หรือความรู้สึกไม่ดีอื่นๆ

(บางสิ่งที่ฮยองวอนได้รู้สึกมากขึ้นในตอนนี้)

NOTE: - Translated into Thai from the original fiction of @vampirehansol http://archiveofourown.org/works/4943977 - ฟิคที่ถูกแปลทั้งหมดทางเราได้รับอนุญาตจากผู้แต่งแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกเรื่องและทุกตอนจะมีการแนบลิ้งค์ไปยังต้นฉบับ ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

- เป็นตอนต่อจาก Mood Swings นะคะ อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่นี่ค่ะ http://sweet-hwh.tumblr.com/post/137340432860/transfiction-mood-swings

--

  มีคนสะกดรอยตามฮยองวอนมา

  รู้สึกตัวครั้งแรกตอนเดินผ่าน 4 ช่วงตึกที่แล้ว มีเงาวูบไหวอยู่ที่หางตาของเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องหันหลังกลับไปดูก็พอจะรู้ว่ามีคนกำลังตามมา เสียงก้าวเดินของคนสองคนก้องไปมาในตรอกที่ฮยองวอนกำลังเดินอยู่

  ฮยองวอนพยายามรวบรวมสติ ทำให้ตัวเองใจเย็นเผื่อจะมีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงที่ว่าเขาอยู่คนเดียวและรอบตัวของเขามีเพียงความมืด ทำให้บุคคลที่ตามเขามาดูอันตรายมากขึ้นไปอีก แต่ฮยองวอนไม่คิดว่าจะเป็นแวมไพร์ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาคงตายไปนานแล้ว

  ฮยองวอนหยุดอยู่ตรงทางเข้าตรอกที่เป็นทางลงไปที่อยู่ของวอนโฮ เขาไม่ได้หันหลังกลับไป แต่กลับจ้องไปที่ท่อระบายน้ำ "นายเป็นใคร แล้วต้องการอะไร?"

  มีเสียงการเคลื่อนไหวของรองเท้าอยู่ทางข้างหลังของฮยองวอน ทำให้เขารู้ว่าคนที่สะกดรอยตามเข้าขยับใกล้เข้ามา "เป็นฮันเตอร์ ฉันอยากจะถามอะไรนายสักหน่อย"

  "ฮันเตอร์?" ฮยองวอนพูดซ้ำ หันหลังไปหา ใบหน้าครึ่งล่างของฮันเตอร์ถูกปกคลุมไว้ด้วยหน้ากากผ้า ดวงตาของเขาดูเย็นชาและกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ "ทำไมถึงอยากถามอะไรฉัน?"

  "เพราะเรารู้ว่านายมีการติดต่อกับชินวอนโฮ"

  ฮยองวอนพยายามทำสีหน้าว่างเปล่า ทั้งที่หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก กลัวจนตัวแข็งไปหมด เขาจะต้องระวังคำพูดให้มากกว่านี้ซะแล้ว "เห? แล้วมันทำไมอะ?"

  "ฉันพูดที่นี่ไม่ได้ ออกไปกับฉันได้มั้ย?" ฮันเตอร์กล่าวในขณะที่กำลังจะเดินนำออกไป

  ฮยองวอนยืนนิ่ง ยกมือขึ้นกอดอก "ฉันจะไม่ไปไหนกับคนที่เพิ่งเจอหน้าหรอกนะ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายไม่ได้จะลักพาตัวฉันไป? หรือว่านายกำลังโกหกฉันอยู่?"

  ฮันเตอร์ถอนหายใจ "ก็จริง แล้วสะดวกไหมถ้านายจะให้เบอร์โทรศัพท์กับฉัน?"

  ฮยองวอนคิดอยู่สักครู่ก่อนจะมองผ่านฮันเตอร์ไปที่แสงสลัวๆ ของถนนสายหลัก "ก็ได้"

  ฮันเตอร์คนนั้นกลับไปหลังจากเขาได้สิ่งที่ต้องการ และฮยองวอนยังคงเงียบ ทำตัวแข็งเหมือนหินจนทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบ เขาถอนหายใจโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลั้นมันไว้อยู่ และพบว่ามือของเขากำลังสั่นในขณะที่กำลังหาโทรศัพท์

  เขาพิงหลังเข้ากับกำแพง ไม่ได้คิดว่ามันสกปรกและเปียกชื้นแค่ไหน และกดโทรออกหาวอนโฮ

  "ว่าไงครับสุดที่รัก!"

  เสียงของวอนโฮทำให้จิตใจของฮยองวอนสงบลงได้ อย่างน้อยก็พอให้เขารวบรวมความคิดได้มากขึ้น "ไง มีบางอย่างเกิดขึ้นแหละ"

  "อะไรครับ?" วอนโฮถาม ฮยองวอนรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงอยู่ในน้ำเสียง

  "มีฮันเตอร์มาหาฉัน" ฮยองวอนบอก พยายามลดความดังของเสียงลง เผื่อจะมีคนผ่านมาแถวนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็ตีสามแล้ว "เขาบอกว่าอยากจะถามอะไรสักอย่าง น่ากลัวมากเลยอ่ะ"

  "โอ... คนดี มันปลอดภัยแล้วใช่มั้ยถ้าคุณจะลงมา"

  "ก็กำลังคิดอยู่ ฮันเตอร์คนนั้นบอกว่ารู้ว่าเราคบกัน แต่ก็ไม่รู้ว่ารู้มากขนาดไหน" ฮยองวอนเสยผม มือยังคงสั่น "พระเจ้า ฉันโคตรกลัวเลยอ่ะ น่ากลัวมากๆ"

  "ชู่วว ไม่เป็นไรนะครับที่รัก ทุกอย่างจะเรียบร้อย แค่-- จำไว้ว่าจะต้องให้ตัวเองปลอดภัยก่อน ต้องให้ตัวเองปลอดภัยก่อนสำคัญที่สุด"

  ฮยองวอนพยักหน้าทั้งที่รู้ว่าวอนโฮมองไม่เห็น "อืม อืม รู้แล้ว ฉันแค่-- พระเจ้า มันน่ากลัวมาก" ฮยองวอนมองไปที่กระดาษเปียกๆ ที่ติดอยู่กำแพงตรงหน้าเขา "โอเค โอเค เชี่ยเอ๊ย เดี๋ยวจะลงไปนะ แต่จะออกไปดูด้านหน้าก่อนว่ามีใครอยู่รึเปล่า แล้วถึงจะลงไป"

  "โอเคครับ ระวังตัวด้วย ผมรักคุณมากนะ"

  "อืม รักเหมือนกัน"

  --

 ตอนที่ฮยองวอนเข้ามา วอนโฮที่รออยู่ที่ประตูอยู่ก่อนจะรวบตัวฮยองวอนมากอดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

  "คุณปลอดภัยใช่มั้ย? ทุกอย่างอยู่ครบ ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย?" วอนโฮถาม ประคองแก้มคนตรงหน้า เอียงหัวฮยองวอนไปทางซ้ายทีขวาที

  "ฉันไม่เป็นไร" ฮยองวอนบอกพลางจับข้อมือของวอนโฮเบาๆ "ทุกอย่างโอเค ไม่มีอะไรแล้ว ฉันโอเค"

  วอนโฮพยักหน้า จุมพิตหน้าผากคนตรงหน้าด้วยความรัก "มา มานั่งนี่ก่อน"

  ฮยองวอนให้วอนโฮนำทางเขาไปนั่งที่โซฟา นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาวอนโฮที่ทำเช่นเดียวกัน แวมไพร์วางมือลงบนเข่าของฮยองวอน มือของเขาอบอุ่น เหมือนเช่นเคย

  "ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงตามฉันมา" ฮยองวอนพูดออกมาหลังจากที่จ้องตักตัวเองอยู่สักพัก "ฉันไม่รู้ว่าฉันจะให้อะไรที่เขาอยากได้ได้บ้าง แบบว่า ฉันก็ไม่ได้รู้จักเพื่อนของนายเยอะ แล้วไม่มีใครคนไหนจะเกี่ยวข้องกับฮันเตอร์เลย"

  "ฮันเตอร์มักมีวิธีแปลกๆ ในการบรรลุเป้าหมายของพวกเขา" วอนโฮพูดช้าๆ นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามกางเกงของฮยองวอน "บางทีเขาอาจจะอยากได้ตัวผม แล้วใช้คุณเป็นคนส่งสาร ผมรับรองว่าไม่มีฮันเตอร์คนไหนในเมืองนี้ที่จะกล้าพอลงมาที่นี่ด้วยตัวเองหรอก"

  "ฉันไม่อยากเป็นคนส่งสารนี่ มันจะ-- นายจะเป็นอันตราย ใช่มั้ย?" ฮยองวอนถาม ยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง

  "คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของผมเลย ฮยองวอน" วอนโฮกระซิบอย่างหนักแน่น "ผมดูแลตัวเองได้แน่ๆ อยู่แล้วคนดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงเลย"

  ฮยองวอนเบ้ปาก "บางทีฉันก็รู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ แน่ล่ะ ฉัน-- ฉันให้นายกินเลือดฉัน แล้วก็อะไรหลายอย่าง แต่มันจะดีตรงไหนล่ะถ้าฉัน ถ้า..." ท้ายประโยคหายไป เขากัดริมฝีปากและหันมองไปทางอื่น เขาไม่อยากร้องไห้ เขาเกลียดการร้องไห้ เกลียดความรู้สึกอ่อนแอและเปราะบาง ถึงตอนนี้เขาจะมีวอนโฮแล้วก็เถอะ

  "คุณยังห่างไกลจากคำว่าไร้ประโยชน์นะ" วอนโฮพูดอย่างแผ่วเบา ขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อหอมแก้มคนตรงหน้าด้วยความรัก "คุณคือคู่ชีวิตที่ดีที่สุดของผมตลอดเวลาที่ผมมีชีวิตมา 200 กว่าปี ผมไม่สามารถขอร้องอะไรจากคุณได้อีก ผมรักคุณมากกว่าที่คุณรู้ด้วยซ้ำ"

  ฮยองวอนพยักหน้า พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา และวอนโฮก็เช็ดมันออกไปอย่างอ่อนโยน "ขอโทษ" ฮยองวอนกระซิบออกมาอย่างไม่มีเหตุผล

  "ไม่เห็นมีอะไรน่าขอโทษเลย" วอนโฮตอบ รอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา แค่นั้นก็พอที่จะทำให้ฮยองวอนยิ้มออกมาได้เช่นกัน "ผมคาดว่าคุณจะได้เจอกับฮันเตอร์คนนั้นอีกในเร็วๆ นี้ จำที่ผมพูดเอาไว้นะ เหนือสิ่งอื่นใดคือต้องให้ตัวเองปลอดภัย อย่าให้เขาหลอกเอาสิ่งที่คุณไม่ควรพูดออกไป ถ้าเขาอยากใช้คุณเป็นคนส่งสาร บอกให้เขามาหาผมด้วยตัวเอง โอเคนะ?"

  ฮยองวอนพยักหน้าตกลง วอนโฮกุมมือของเขาขึ้นมาแล้วจูบเบาๆ นั่นทำให้ฮยองวอนคิดได้ว่าเขาโชคดีขนาดไหน ที่ได้รับการป้องกันจากทุกสิ่งทั้งปวงที่สามารถเป็นอันตรายต่อเขา ได้เป็นที่รักและห่วงใย โดยแวมไพร์ที่มีอายุมากกว่าร้อยปีที่ยิ้มจนตาหยีอยู่ตรงหน้า

  ฮยองวอนตัดสินใจว่าเขาเองก็จะต้องปกป้องวอนโฮเช่นกัน

 --

  สำนักงานใหญ่ของฮันเตอร์มีกลิ่นเหมือนกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศและสนิม (บางทีอาจจะเป็นกลิ่นเลือด) ฮยองวอนตัดสินใจจะทำให้ตัวเองดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งตัวให้ดูเป็นทางการและยังอุตส่าห์หวีผม สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่ได้วางแผนอะไรล่วงหน้า ถือว่าเขาประสบความสำเร็จ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพนักงานที่นั่นจะนิสัยดี

  และเพราะหลายๆ คนกำลังหันมาทางเขา เขาจึงพยายามไม่ให้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เขามาที่นี่เนื่องจากมีธุระ

  เขาพบฮันเตอร์ผู้หญิงคนนึงที่ตัดผมสั้นและดูเย็นชา เขาพยายามที่จะไม่สนใจบุคลิกทื่อๆ ของคนแถวนี้ ในเมื่อคุณฆ่าแวมไพร์เป็นอาชีพ คุณก็คงจะดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจอยู่แล้วล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะต้องมาติดต่อกับคนธรรมดาอย่างฮยองวอนด้วยแล้ว

  "เดี๋ยวหัวหน้าจะมาพบกับคุณค่ะ" ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเขาหลังจากที่ก้าวเข้าไปในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นออฟฟิศ โต๊ะเรียงเป็นแถวที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังทำงานเอกสาร โดยไม่ได้สนใจการมาถึงของพวกเขา

  ฮยองวอนรู้สึกหลงทางเล็กน้อยหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นกลับไปทำงานของเธอ ก่อนที่ฮยองวอนจะมาที่นี่ เขาได้รับข้อความเมื่อเช้าที่เขาถามไปว่าเขาสามารถเข้าไปที่สำนักงานใหญ่และสามารถเชื่อถือสถานที่นั้นได้ไหม ซึ่งคำตอบของทั้งสองคำถามคือได้ เขาจึงเข้ามาที่นี่ในวันเสาร์ วันที่เขาไม่มีเรียน สถานที่ตั้งอยู่นอกถนนสายหลัก และซ่อนอยู่ในอาคารที่ฮยองวอนคิดมาตลอดว่ามันคือโรงนา พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขาก็พบว่ามันสุดยอดมาก

  เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นผู้บุกรุก แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ติดกำแพงและตั้งแต่เขาเข้ามา ไม่มีใครมองมาทางเขาเลยแม้แต่คนเดียว คนเหล่านี้ใช้เวลามากมายในการทำงาน เพื่ออะไร? เพื่อฆ่าแวมไพร์ที่ดุร้ายแล้วเอามาทำเป็นพาดหัวข่าว เพื่อให้ผลกลายเป็นว่าคนนับพันหายไปอย่างไร้ร่องรอยทุกปีงั้นเหรอ?

  เขาย่นจมูกอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดูเหมือนว่าการมาครั้งนี้ของเขาจะสูญเปล่าซะแล้วล่ะ

  เขาถูกดึงขึ้นจากความคิดเพราะมีคนที่ดูเป็นทางการมากๆ เข้ามาพูดกับเขา "เฮ้ คุณดูหลงทางนะ มีธุระอะไรรึเปล่า?"

  "โอ้ ผม... ผมจะต้องไปพบกับหัวหน้าฮันเตอร์น่ะ" ฮยองวอนตอบ เขาวางแผนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ไม่แยแส แต่กลับกลายเป็นว่าเขาทำไม่ได้เลย

  ผู้ชายตรงหน้าเขาพยักหน้า ยิ้ม เขาดูเป็นมิตรที่สุด ต่างจากหลายๆ คนที่ฮยองวอนได้เจอมาในวันนี้ "เข้าใจแล้ว นัดไว้รึเปล่า?" ฮยองวอนพยักหน้า ชายคนนั้นผายมือเพื่อให้ฮยองวอนเดินตามเขาไป "มาทางนี้ ผมคาดว่าถ้าเราไปรบกวนเขานิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง"

  ฮยองวอนไม่แน่ใจนัก แต่เขาก็เดินตามไปอยู่ดี

  ห้องทำงานของหัวหน้าฮันเตอร์ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่ฮยองวอนคิดไว้ ก็เป็นแค่ห้องใหญ่ที่มีโต๊ะขนาดยักษ์และมีเก้าอี้หลายตัวล้อมรอบเป็นครึ่งวงกลม ชายคนนั้นบอกให้ฮยองวอนเข้าไปในห้องเพียงคนเดียว เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วล่ะ

  หัวหน้าฮันเตอร์เป็นชายร่างสูง หน้าตาเหนื่อยอ่อน เขามองมาที่ฮยองวอน และทำหน้าเพื่อให้ฮยองวอนทราบว่าเขาไม่ต้องการให้อะไรมันยุ่งยากมากนัก "โอเค เชิญนั่งก่อน มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?"

  ฮยองวอนเอาแต่มองเท้าของตัวเองแทนที่จะมองหัวหน้าฮันเตอร์ เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะรู้สึกตัวเล็กเมื่ออยู่ต่อหน้าชายตรงหน้านี้เลย และความรู้สึกนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกเมื่อฮยองวอนนั่งลงแล้วสบตากับเขาอีกครั้ง "ผม... ได้เจอกับหนึ่งในฮันเตอร์ของคุณ เมื่อคืนนี้ เขาบอกว่าอยากจะพูดกับผม"

  "หืม? คุณอยากจะรู้ว่าเขาเป็นใครเหรอครับ?"

  ฮยองวอนส่ายหัว "ไม่ เขาปิดหน้า แล้วก็ใส่หมวก ผมให้เบอร์โทรศัพท์กับเขาไปแล้วเขาก็ส่งข้อความมาหาผมเมื่อเช้านี้"

  "ก็... คุณจะบอกว่าเขาให้ที่อยู่นี่มากับคุณ ผ่านทางโทรศัพท์ โดยไม่ได้รับอนุญาตมาก่อนงั้นเหรอครับ?"

  "ผ-- ผมเดาว่าแบบนั้น ถ้าคุณไม่ได้ เอ่อ อนุญาตน่ะนะ ผมคิดว่าแบบนั้นแหละ"

  เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าฮันเตอร์ค่อนข้างหงุดหงิด ฮยองวอนเอาแต่จ้องไปที่โล่ประกาศเกียรติคุณที่วางอยู่บนโต๊ะ ซนฮยอนอู ที่ปฏิบัติงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องกันเป็นเวลา 15 ปีให้กับสมาคมฮันเตอร์นานาชาติ ฮยองวอนจ้องโล่นั่นสลับไปมากับใบหน้าของคนตรงหน้า

  หัวหน้าฮันเตอร์หรือฮยอนอูถอนหายใจ พิงตัวเองเข้ากับเก้าอี้ "โอเค งั้น... เขาได้บอกไหมว่าเขาต้องการอะไรจากคุณ?"

  "ผม-- โอเค กับสิ่งที่ผมบอกไป คุณจะออกคำสั่งอะไรรึเปล่า?" ฮยองวอนถาม พยายามคิดว่าเขาต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตัวเองว่าเขาจะโดนจับรึเปล่า

  ฮยอนอูส่ายหัวช้าๆ "ไม่ครับ ไม่จำเป็นเลย พวกเรามีงานต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีฮันเตอร์ที่ถูกตำหนิ เว้นแต่ว่าคุณจะให้ข้อมูลที่สำคัญต่อทางเรา เราจะได้เก็บข้อมูลไว้แล้วจัดการกับพวกนั้นทีหลัง"

  ฮยองวอนหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า "โอเค โอเค ผ-- ผม... กำลังเดท ผมกำลังเดทกับชินวอนโฮ ผมแน่ใจว่าคุณรู้จักเขา"

  ฮยอนอูหายใจเขาเช่นกัน "แน่นอน ผมรู้จักเขา แล้วมันเกี่ยวกันยังไงครับ?"

  "เรื่องมันยาวแล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมต้องการจะถามคุณ" ฮยองวอนตอบตามตรง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาหยาบคายเกินไปหรือไม่ ก่อนที่ฮยอนอูจะพยักหน้าเชิงเข้าใจ แล้วนั่งตัวตรง

  "โอเค ก็แฟร์ดี แล้วสิ่งที่คุณอยากจะถามผมคืออะไร?"

  "ก็ ก่อนอื่น ผมคิดว่าที่เขาเข้ามาหาผมเพราะผมติดต่อกับวอนโฮ แล้วเห็นได้ชัดว่าคุณเองก็ไม่ทราบ เพราะคุณก็ไม่ได้อนุญาต คุณจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการพูดคุยกับเขาหรือผมรึเปล่า?"

  ฮยอนอูนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง "ผมคาดว่า จริงๆ ก็มีหลายอย่างที่เราอยากได้จากเขา เขาเชี่ยวชาญด้านการเจรจามาตลอด ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางหรือมีการฆ่าคนจำนวนมากๆ บนพื้นดินเลย ผมสันนิษฐานว่าเขาคงจะรู้จักกับแวมไพร์จำนวนหนึ่งหรือแม้แต่มนุษย์เอง พวกเรากำลังพยายามช่วยเหลือให้สาขาในโซลย้ายรังที่มีอยู่ และวอนโฮอาจจะรู้บางอย่างที่สามารถช่วยเราได้"

  มีความเงียบเกิดขึ้น ฮยองวอนคิดว่าเขาควรพูดอะไรบางอย่าง แต่ฮยอนอูกลับพูดก่อนที่เขาจะมีโอกาส "แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเข้าจากทาง เอ่อ แฟนของเขา ยังไงซะ ผมไม่ได้อนุญาตจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างกดดันนะ แน่นอน แต่ผมทราบว่าคุณอาจจะรู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องด้วย แต่ถ้าเราอยากจะพูดกับเขาจริงๆ ผมจะลงไปข้างล่างนั่นแล้วคุยกับเขาด้วยตัวเอง"

  "คุณจะบอกว่า ที่ผมกลัวจนร้องไห้ออกมาเป็นสิบนาทีนั่นสูญเปล่าเหรอ?" ฮยองวอนโพล่งออกมาหน้าตาเฉย

  "ใช่ จริงๆ แล้วผมก็คิดออกอยู่หนึ่งคนที่ไปพูดคลุมเครือกับคุณแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืนด้วย เขาจะโดนตรวจสอบ และบางทีอาจจะถูกลงโทษด้วย และ" ฮยอนอูยืนขึ้น ฮยองวอนพบว่าเขาสูงกว่าที่คิดไว้มากที่เดียว "ถ้าเขามีคำถามที่เขาต้องการจะถามคุณเป็นการส่วนตัว เขาก็คงจะไปถามคุณด้วยตัวเอง หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีนะครับ คุณ..."

  "โอ้ ใช่ ฮยองวอนครับ ผมชื่อฮยองวอน"

  ฮยอนอูพยักหน้า ยิ้ม และเดินไปรอบโต๊ะ "ครับ ขอบคุณที่มาถึงแม้ว่ามันแทบจะสูญเปล่า" เขายื่นมือให้ฮยองวอนจับ ฮยองวอนทำตามและยิ้มให้ ฮยองวอนรู้สึกประหม่าเมื่อพบว่ามือของเขาสั่นเอามากๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่

  ฮยอนอูบอกให้ฮันเตอร์มาส่งฮยองวอนด้านบนพื้นดิน เขาอยากจะแนบหน้าลงกับพื้นหญ้าและไม่ขยับตัวอีกเลย แต่เขาก็อยากจะโทรหาวอนโฮถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลากลางวันและเขาคงจะหลับอยู่ และเขาเองก็อยากจะนอนพักผ่อนบ้างเช่นกัน

  ฮยองวอนทำสิ่งสุดท้ายก่อนเป็นอันดับแรก นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มและหลับไป เขาคิดว่าเขาฝันถึงจูบและเลือด แต่เขาไม่ค่อยแน่ใจ

 --

  "คุณเลยจะบอกว่าทั้งหมดนั่นมันเสียเวลาเปล่า?" วอนโฮถาม ระหว่างรอให้ฮยองวอนนั่งข้างๆ และโอบเขาไว้

  "อื้อ เหมือนว่าคนที่ทำให้ฉันตกใจจะถูกลงโทษหรืออะไรสักอย่าง เพราะเขาทำโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ช่างเถอะ" ฮยองวอนถอนหายใจ หันหน้าไปเพื่อให้ตัวเองได้สูดกลิ่นของคนข้างกาย กลิ่นโคโลญจ์ผสมกับกลิ่นอบอุ่นแบบธรรมชาติ "ฉันยังกลัวอยู่เลย เขามีเบอร์โทรฉันแล้ว และหัวหน้าฮันเตอร์บอกว่าถ้าเขามีคำถามอะไร เขาอาจจะโทรมา... เอ่อ"

  วอนโฮขยับหัวฮยองวอนขึ้นเพื่อจะจูบ อ่อนโยนแต่มีความดิบแบบที่เขารู้ว่าฮยองวอนชอบ "คุณจะไม่เป็นไร ที่รัก เราจะไม่เป็นไร ผมรักคุณและภูมิใจมากที่คุณไม่สติแตกในระหว่างการล่าแวมไพร์ในสำนักงานใหญ่"

  "โห จริงๆ ก็เกือบไปแล้วนะ" ฮยองวอนพิงตัวเองที่หน้าอกของวอนโฮ ทำให้ตัวของแวมไพร์พิงกับพนักพิงโซฟามากขึ้นอีก "แต่ฉันคงต้องทำให้ตัวเองใจเย็นลง เพราะถึงเวลาอาหารแล้วใช่มั้ย?"

  "ถ้าไม่อยากทำ อีกสักสองสามวันก็ไม่เป็นไรนะครับที่รัก" วอนโฮกล่าวพลางลูบผมของคนในอ้อมแขน "อย่าห่วงผมเลย ห่วงตัวคุณเถอะ"

  ฮยองวอนเงยหน้ามองเขา วางคางลงบนหน้าอกของวอนโฮ "ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ฉันใจเย็นลงได้นะ ทำให้ฉันรู้สึกปกติเถอะ วันนี้ฉันเจอคนมาเยอะมาก ทั้งที่เป็นวันหยุดนะ ให้ตายสิ"

  วอนโฮยิ้มกว้างจนเห็นฟันทั้งหมด เขี้ยวของเขากระทบกับแสงของตะเกียง และฮยองวอนรู้สึกว่ามันเหมือนกับใบปลิวต่อต้านแวมไพร์ที่เขาเห็นตามร้านขายของ เขาเกือบจะหัวเราะออกมา เพราะเขาเห็นความสมบูรณ์แบบที่ช่างงดงามเหลือเกิน

  "บางทีฉันก็คิดว่าทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้ถ้าฉันไม่ใช่ตัวเอง"

  ฮยองวอนรู้สึกว่าวอนโฮยังอยู่ข้างๆ เขามองไปที่เงาที่ก่อนจากแสงไฟเต้นไปมาอยู่บนกำแพง "หมายความว่ายังไงครับคนดี?" วอนโฮถาม

  "ฉันหมายถึงว่าถ้าฉันไม่ใช่มนุษย์" ฮยองวอนบอก ไม่ได้มองหน้าอีกคน "นายคิดจะ---"

  "ไม่"

  ฮยองวอนพยายามที่จะไม่จู้จี้ ทำเสียงปกติ เขาถาม ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ "ทำไมล่ะ?"

  "มีเหตุผลมากมาย" วอนโฮกระซิบพลางจับมือของฮยองวอน

  "บอกมาสิ" ฮยองวอนตอบ หันหน้าเพื่อให้ใบหน้าของเขาแนบไปกับลำคอของวอนโฮ

  เขาได้ยินเสียงวอนโฮหายใจเข้า ก่อนจะหายใจออกสั่นๆ อย่างช้าๆ "ผมไม่อยากเป็นคนฆ่าคุณ นั่นเป็นเหตุผลหลัก แล้วก็... ผมเชื่อว่าคุณเองก็รู้ ที่รัก แต่คุณจะไม่เป็นเหมือนผม คุณอาจ-- คุณอาจจะตาย คุณอาจจะเสียใจ"

  เสียงของวอนโฮฟังดูเสียใจเอามากๆ ฮยองวอนจูบที่คอของเขา "ยังไงซะ เหตุผลที่ดูเห็นแก่ตัวหน่อยก็คือผมยังอยากให้คุณเป็นอาหารของผมอยู่ มันเชื่อถือได้ อร่อย แถมยังน่ารัก" เสียงของเขาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังดึงให้ฮยองวอนเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ผมรักคุณมากเกินกว่าจะฆ่าคุณ ฮยองวอน"

  "ฉันรู้น่า" ฮยองวอนพึมพำ ริมฝีปากโดนกับผิวของแวมไพร์ "ฉันก็รักนายเหมือนกัน"

  พวกเขาหลับไปทั้งแบบนั้น แม้ว่าฮยองวอนจะรู้สึกถึงบางอย่างที่เหมือนกับเด็กไม่ได้สิ่งที่ต้องการอยู่ในอก เขารู้ทั้งหมดนั้นตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้ยินที่วอนโฮพูดก็ทำให้มันชัดเจนขึ้น เขาจะไม่ฆ่าฮยองวอน เด็ดขาด

  มันมีเสน่ห์ และเป็นการพิสูจน์ว่าวอนโฮรักเขามากถึงขนาดยอมเสียสละโอกาสที่จะได้มีเขาตลอดไป เพื่อจะให้ฮยองวอนมีชีวิตและมีความสุข ฮยองวอนคงโกหกไม่ได้ว่าเขาจะมีความสุขถ้าเขาจะถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ เขาเคยเจอกับเพื่อนที่น่าสงสารของวอนโฮ เห็นใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนและซูบตอบ ท่าทางการนั่งที่แข็งเป็นหินอยู่ตรงข้ามกับเขา เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น มันไม่ยุติธรรมเลย

  เขาวางทุกอย่างลงและขยับเข้าไปในอ้อมแขนของวอนโฮ รู้สึกถึงการกระชับอ้อมกอดของอีกคน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แค่ตอนนี้น่ะนะ

ติดแท็ก #moodswingstheseries ไว้สกรีมหรือคอมเม้นติชมได้เลยนะคะ :)

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

Avatar

[TransFiction] Rosewine

rosewine

Couple: hyungwonho AU Rated: M 3,145 words

 ฮยองวอนไม่ใช่คนฉลาดอะไรนัก แต่บางทีเขาก็เลือกตัวเลือกที่ดีให้กับตัวเองได้เหมือนกัน

(จริงๆ ก็แค่ร้อนเงิน แค่นั้นแหละ)

NOTE:

- Translated into Thai from the original fiction of @vampirehansol http://vampirehansol.tumblr.com/post/134332546446/rosewine-monsta-x-hyungwonho http://archiveofourown.org/works/5287967 - ฟิคที่ถูกแปลทั้งหมดทางเราได้รับอนุญาตจากผู้แต่งแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกเรื่องและทุกตอนจะมีการแนบลิ้งค์ไปยังต้นฉบับ ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด - มีคำหยาบอยู่บ้างนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม

 ฮยองวอนพังแล้ว

 ก็พังจริงๆ แหละ เขาไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ฮยองวอนจ้องข้อความที่แม่ของเขาส่งมาว่าจะไม่ส่งเสียเขาเรียนอีกแล้ว เพราะเกรดเทอมหลังๆ มานี้ของฮยองวอนมันแย่มาก

แล้วฮยองวอนก็ต้องพยายามหาเงิน 12,000 มาจ่ายค่าเทอมในช่วงซัมเมอร์

“ฆ่ากูที” ฮยองวอนสบถพลางนอนลงบนเตียงของมินฮยอก

“กูก็อยากทำนะ แต่ไม่อยากติดคุกว่ะ โทษที” มินฮยอกบอกทั้งที่ตายังจ้องอยู่ที่แล็ปท็อป เขากำลังเขียนเรียงความที่ฮยองวอนเองก็ควรจะทำเช่นเดียวกัน “เป็นไร?”

ฮยองวอนวางโทรศัพท์บนคีย์บอร์ดของมินฮยอกแทนคำตอบ มินฮยอกตาโตตอนที่อ่านข้อความ

“งานยากแล้วมึง” มินฮยอกบอกแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง “แล้วจะทำไงต่อ?”

“เอ่อ ไม่รู้ว่ะ ร้องไห้หนักมากมั้งมึง เชี่ยเอ๊ย” ฮยองวอนฝังหน้าตัวเองลงในผ้าห่มมินฮยอก พึมพำ “แย่ชิบหาย”

“กูว่าแย่สุดๆ ไปเลยว่ะ กูยังคิดประโยคน้ำเน่ามาปลอบใจมึงไม่ได้เลย” มินฮยอกสารภาพ ตบหลังฮยองวอนเบาๆ “เดี๋ยวเราก็คิดออก บางทีมึงก็ทำให้พ่อแม่ภูมิใจดิ ทำให้รู้ว่าจะคุ้มค่าต่อการส่งเสียนะ ไรเง้”

“ก็คิดอยู่ ขอบใจมึง” ฮยองวอนเดินกลับไปที่เตียงของตัวเอง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัวแล้วก็ร้องโวยวาย ได้ยินเสียงมินฮยอกหัวเราะเขาด้วย

“มึง” มินฮยอกเริ่มพูดในขณะที่กำลังนั่งลงข้างๆ ฮยองวอนที่ดึงแซนด์วิชออกมาจากถุง “แล้วมึงจะไปหาค่าเทอมมาจากไหนวะ?”

“หมายความว่าไง?” ฮยองวอนถาม เงยหน้ามอง แต่กลับกลายเป็นว่าหน้าผากของเขาชนกับคางมินฮยอกเข้าอย่างจัง “โอ๊ย”

“โทษๆ แต่กูมีไอเดียว่ามึงทำไอ้นี่ได้ อยากฟังป้ะ?”

“เชี่ย มึงแค่บอกมาเถอะครับ”

“เป็นเด็กเสี่ยไง”

มือของฮยองวอนหยุดแกะแซนด์วิช “อะไรนะ?”

“กูบอกว่าไปเป็นเด็กเสี่ยไง เอาน่า มึงก็หล่อ บางทีอาจจะลีลาเด็ดด้วย” มินฮยอกขยับมานั่งตรงข้ามฮยองวอน เอามือเท้าคาง “มึงคิดว่าไง?”

“กูคิดว่ามึงบ้าแล้ว” ฮยองวอนบอกอย่างหนักแน่น แล้วกัดแซนด์วิชเข้าไปคำโต “นี่มึงเป็นนายหน้าป่ะเนี่ย?”

มินฮยอกยักคิ้ว ฮยองวอนกลอกตา “จริงๆ ก็เป็นนะ”

“เดี๋ยวก่อนนะ นี่ไม่ได้หมายความว่ากูตกลงนะ”

“มึงก็ตกลงไปเลย อีกแป๊บกูจะไปกินข้าวเที่ยงกับกีฮยอน เดี๋ยวกูจะไปลองถามๆ มาให้” มินฮยอกยืนขึ้น ดุนตัวฮยองวอนตอนที่เดินผ่าน “ลองคิดๆ ดู”

ฮยองวอนถอนหายใจและกินแซนด์วิชอย่างเงียบๆ

--

กลายเป็นว่าฮยองวอนลืมเรื่องทั้งหมดนั่นไปแล้ว จน 1 อาทิตย์ผ่านไปพอดี มินฮยอกวางกระดาษแผ่นเล็กลงบนโต๊ะกินข้าวต่อหน้าเขา

“อะไรวะเนี่ย?” ฮยองวอนถาม ปากคาบมันฝรั่งทอดไว้

“เบอร์เสี่ยมึง”

ฮยองวอนปามันฝรั่งทอดใส่หน้ามินฮยอก

“กูจริงจังนะเนี่ย!” มินฮยอกพูดกลั้วหัวเราะ “กูไปเจอคนที่กีฮยอนรู้จักแล้วก็เล่าเรื่องมึงให้มันฟัง แล้วมันก็แบบ โอเค รู้จักอยู่คนนึง แล้วก็ให้เบอร์นี้มา กูเลยเอามาให้มึงเนี่ย จะเอาไม่เอา จะคุยอะไรกันก็เรื่องของมึงกับเค้า ไม่เกี่ยวกับกู”

ฮยองวอนจ้องกระดาษใบนั้น มองเบอร์โทรศัพท์ผ่านๆ แล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ มินฮยอกยิ้มกว้าง ดูท่าทางพอใจ “แต่กูก็ไม่ได้จะยอมรับหรอกนะเว้ย” ฮยองวอนตอบแบบไม่พอใจเท่าไหร่นัก

“แต่มึงหมดหนทางแล้วนะ” มินฮยอกพูดแทงใจดำ

และ... ใช่... เขาหมดหนทางจริงๆ ...ในคืนนั้น ฮยองวอนรอให้มินฮยอกออกไปหาอะไรกิน เขากดหมายเลขที่ได้รับมา แล้วโทรออก

เขาไม่ได้หวังให้ปลายทางรับสายด้วยซ้ำ... แต่ “สวัสดีครับ?”

ฮยองวอนไม่เคยได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดอยู่แล้ว เขาเลยตอบกลับไปว่า “เออ เฮ้ย นั่นใครวะ?”

ขอบคุณจริงๆ ที่ปลายสายแค่หัวเราะเบาๆ “ผมชินโฮซอกครับ แต่เรียกผมว่าวอนโฮเถอะ แล้วนั่นใครวะ?”

“แชฮยองวอน มีคน เอ่อ... ให้เบอร์นี้มา แล้วบอกว่าคุณ... เอ่อ... บอกว่าคุณช่วยผมได้”

“โอ้ ใช่คนที่ฮยอนอูเล่าให้ผมฟังก่อนหน้านี้รึเปล่านะ? หาเงินเรียน อะไรประมาณนั้น”

“อ่าใช่ ผมเอง” ฮยองวอนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขากำลังมีบทสนทนาอะไรเทือกนี้ แล้วมีเสี่ยเลี้ยงเป็นของตัวเอง เขากลิ้งบนเตียงแล้วพึมพำอยู่ในใจ “อะ.. เอ่อ... แม่ง ผมไม่รู้ว่าจะต้องถามว่าอะไร”

“ตามสบายเลยครับคนดี”

ฮยองวอนทำหน้างอ “ผม... คุณน่าเชื่อถือมากแค่ไหนกัน? แบบ ผมจะเชื่อได้ไง ผมไม่ทำนะถ้าคุณไม่มีเงินให้อ่ะ”

วอนโฮหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม “เชื่อได้เลย ผมเชื่อถือได้แน่ๆ ผมมีมรดกที่มากกว่าค่าเทอมคุณประมาณห้าร้อยเท่าได้ แล้วมันกำลังเพิ่มมากขึ้นอีก ไม่ต้องห่วงเลยครับ”

ฮยองวอนรู้สึกมึนๆ เล็กน้อยตอนที่พยายามจินตนาการจำนวนเงินที่มากขนาดนั้น “เอ่อ โอเค เชี่ย เอ่อ... คุณอยู่ที่ไหนอ่ะ”

“โซลนี่แหละ ใกล้ๆ มหา’ลัยคุณ ผมคิดว่านะ แล้วซัมเมอร์นี้จะกลับบ้านรึเปล่า?”

“ไม่อ่ะ จริงๆ ก็กลับได้ แต่ไม่อยากกลับไปฟังพ่อแม่ด่าเป็นเวลาสามเดือนเท่าไหร่หรอก น่าเบื่อเชี้ยๆ”

“ดีเลย แสดงว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆ นี้แหละ อยากไปกินข้าวกันมั้ย ไปคุยรายละเอียดกัน แล้วคุณจะได้ตัดสินใจ ไม่ต้องรีบ”

“...คุณจ่ายใช่ป่ะ?”

“แน่นอนครับคนดี”

ฮยองวอนได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่ด้านนอก เขาเกรงว่าจะเป็นมินฮยอก เลยรีบตอบ “ครับ ครับ ไม่เป็นไร เอ่อ เชี่ยย ข้อความ...ส่งข้อความมาได้มั้ย? บอกว่าจะไปที่ไหนแล้วเดี๋ยวผมไปเจอที่นั่น เอ่อ... วันเสาร์ ที่...”

“สามทุ่มโอเคมั้ยครับ?” วอนโฮถาม และฮยองวอนก็คิดว่าวอนโฮคงทำแบบนี้กับหลายคนแล้วแน่ๆ เสียงของเขาฟังดูราบลื่นมากเหลือเกิน มันทำให้ฮยองวอนรู้สึกหวิวๆ นิดหน่อย

“ได้ ได้ๆ เอ่อ แค่นี้นะ ยินดี...ที่ได้คุยกัน?”

“ยินดีเช่นกันครับคนดี ไว้เจอกันนะ!”

ฮยองวอนปล่อยโทรศัพท์ให้ตกลงบนหมอนข้างๆ ตัว ทันเวลาที่มินฮยอกถือกล่องพิซซ่าเปิดประตูเข้ามาพอดี

“เอ้โย่ว!” มินฮยอกทัก ยกถาดพิซซ่าขึ้นเหนือหัวอย่างภาคภูมิใจ “มากินข้าวกัน”

ฮยองวอนเลียนแบบท่าทางของมินฮยอก หวังว่าเพื่อนของเขาจะไม่สามารถจับความกังวลจากเขาได้มากนัก

พระเจ้า นี่เขากำลังพาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรวะเนี่ย

ฮยองวอนจินตนาการว่าวอนโฮจะหน้าตาแบบไหนจากเสียงที่ได้ฟัง เขาคิดว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจเท่ๆ ใส่สูท อายุประมาณ 30 และเขาสิ่งเดียวที่เขาทายถูกคือใส่สูท

วอนโฮสูง แต่ก็ไม่ได้สูงเท่าฮยองวอน ใบหน้ายาวได้รูปและรอยยิ้มวิบวับนั่น ผมสีน้ำตาลหวีปาดไปอีกทางอย่างเป็นระเบียบ เขารอฮยองวอนอยู่ที่ประตู และกลายเป็นว่าวอนโฮไม่รู้ว่าฮยองวอนหน้าตาเป็นอย่างไร ดังนั้นฮยองวอนจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาอย่างระวังแล้วถามอีกคนว่า “เอ่อ ช... ใช่วอนโฮรึเปล่า?”

เขาแอบหวังเอาไว้ว่าคนนี้จะไม่ใช่วอนโฮ จริงๆ นะ เพราะผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้หล่อมากเกินไป และเสื้อผ้าของฮยองวอนในตอนนี้ จริงๆ มันก็เป็นเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของเขา ก็ยังคนละระดับกับชุดทางการของวอนโฮมากๆ แต่ช่างโชคร้ายเหลือเกินที่วอนโฮพยักหน้าอย่างตื่นเต้น และคว้ามือฮยองวอนไปจับไว้อย่างสุภาพ

“แล้วคุณคือฮยองวอน ใช่รึเปล่า?” วอนโฮถาม แค่เพื่อความแน่ใจ

“เอ่อ ใช่ ผมเอง ไง เป็นไงบ้าง?”

“ดีมากเลย คุณล่ะ?”

“ตื่นเต้นเหี้ยๆ” ฮยองวอนกระซิบ และนั่นจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของวอนโฮ หัวใจฮยองวอนเต้นเร็วขึ้นนิดหน่อย เขาบ่นในใจ “ร้านนี้มันดีเกินไป แล้วคุณก็ดีกับผมเกินไปแล้ว”

“เหลวไหลน่า” วอนโฮพูด จับมือฮยองวอนให้เข้ามาควงแขนแล้วพาเดินไปในร้าน “ดีแล้วครับ คนดี ดูดีไม่แพ้ใครๆ ในร้านเลย”

คำชมเมื่อครู่ทำให้ไหล่ของฮยองวอนขยับไปในท่าทางแปลกๆ เขาเอาแต่จ้องเท้าของตัวเองแทนที่จะมองไปรอบๆ หรือมองคนข้างๆ เขาพยายามจะเดินใกล้ๆ วอนโฮ เพราะเกรงว่าจะเดินไปชนโต๊ะหรืออะไรอย่างอื่นเข้า วอนโฮหยุดลงที่โต๊ะติดกำแพง ผายมือเพื่อบอกให้ฮยองวอนนั่ง วอนโฮนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน เขายิ้มให้ฮยองวอน

พนักงานเสิร์ฟเอาเมนูมาให้สองชุดและถามเครื่องดื่มของพวกเขา วอนโฮสั่งแชมเปญ และถึงแม้ว่าฮยองวอนจะไม่ชอบอะไรพวกนั้น เขากลับสั่งตามคนตรงหน้า

“เอ่อ มานานรึยัง?” ฮยองวอนถาม วอนโฮก็ส่ายหัว

“ไม่ครับ ก็ไม่เชิง แค่นานพอที่จะจัดการจองโต๊ะให้ได้น่ะ”

“โห ถึงกับต้องจองเลยเหรอ?”

วอนโฮหัวเราะ “แน่สิ สั่งอาหารเถอะครับ”

ฮยองวอนพยายามที่จะไม่มองราคาอาหาร ทุกอย่างแปลกใหม่ไปหมดสำหรับเขา และก็ทำตามที่วอนโฮสั่ง สุดท้ายเขาเลือกสั่งสเต็ก เมนูที่เขาไม่ได้ทานมาเป็นปี และแชมเปญสองแก้วก็ทำให้เขารู้สึกกลมกลืนไปกับคนอื่น

เขาคิดว่านี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ถูกดูแลเอาใจใส่จากผู้ชายดูดีที่คิดว่าฮยองวอนเองก็หน้าตาดีเช่นกัน วอนโฮชวนฮยองวอนคุยเกี่ยวกับชีวิตในมหา’ลัย พยายามให้การสนทนาออกจากเรื่องของเขาได้อย่างมีมารยาท ท่าทางที่ช่างน่าหลงใหล ฮยองวอนเองก็รู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้น แต่เขาก็อยากจะคิดว่าเป็นเพราะเขาคงดื่มมากเกินไป

“แล้วชอบมั้ย?” วอนโฮถามหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว ในขณะที่พวกเขากำลังรอคิดเงิน

“แหงดิ” ฮยองวอนตอบ อาจดูตื่นเต้นมากไปด้วยซ้ำ แต่วอนโฮก็แค่ยิ้มและพยักหน้า

“ดีใจจังที่ชอบ แล้วสนใจมั้ย?”

เออ ใช่ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมฮยองวอนถึงได้เข้ามานั่งในร้านอาหารระดับห้าดาวแบบนี้ “เอ่อ... ขอเวลาคิดอีกสักสองสามวันได้ป่ะ?”

“ได้เลย! ไม่ต้องรีบ แค่อยากรู้ว่าได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างรึยัง” วอนโฮเอื้อมมาขอจับมือฮยองวอน และฮยองวอนก็ให้ เขายิ้มบางๆ เมื่อวอนโฮจับมือของเขาอย่างแผ่วเบา “ถ้ายังไง ผมก็คิดว่าอยากเป็นเพื่อนกับคุณจริงๆ นะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจ่ายเงินให้ไม่ได้ ถ้าคุณตัดสินใจว่าทางนี้ไม่ใช่ อยากเซฟเบอร์ผมไว้หรือไม่ ก็แล้วแต่เลยนะ”

“โอ ผม... อื้อ! อื้อ! โอเค ไม่เป็นไร เซฟของผมด้วยดิ”

“ผมมีแล้วล่ะ”

เชี่ยเอ๊ย “คุณแม่งโคตรเนียน เกลียด”

วอนโฮยิ้มกว้าง นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อมือของฮยองวอน “ดีใจที่ชอบนะ”

สุดท้ายแล้ว วอนโฮก็เดินพาฮยองวอนไปส่งที่รถของเขา และให้สูทตัวนอกกับฮยองวอนเพราะเจ้าตัวบ่นว่าหนาว

“โห ไม่เอาหรอก เสื้อนั่นต้องราคาแพงมากแน่ๆ” ฮยองวอนบอก ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรง “ถ้าผมทำมันพัง ผมจ่ายมันไม่ไหวแน่”

ถึงแม้จะมีเสียงค้านจากฮยองวอน วอนโฮก็ยังคงพาดมันลงบนไหล่ของเขา และฮยองวอนก็ขยับตัวเพื่อหาความอบอุ่น เชี่ยเอ๊ย

“ไม่ต้องห่วงเรื่องคืนนะ ผมให้ ใส่มันไปออกงานสวยๆ ยังได้เลย” วอนโฮบอก หยุดยืนอยู่ข้างๆ รถของฮยองวอน และรอให้ฮยองวอนปลดล็อครถก่อนจะเปิดประตูให้เขา

 “ให้ตายสิ เกินไปรึเปล่าเนี่ย” ฮยองวอนพึมพำ ตบลงบนใบหน้าของเขาเบาๆ “อยากจูบมั้ย?”

“จูบ?” วอนโฮถามซ้ำ และฮยองวอนก็พยักหน้า “ได้เหรอ? ถ้าคุณต้องการก็คงจะดีนะ ได้สิ”

ฮยองวอนวางมือลงบนไหล่วอนโฮอย่างเก้ๆ กังๆ วอนโฮโอบเข้าที่เอวของฮยองวอน ดึงเขาเข้ามาใกล้แล้วจูบเบาๆ จริงๆ แล้วนี่เป็นจูบที่ดีที่สุดของฮยองวอนเลยด้วยซ้ำ เพราะจูบที่ผ่านๆ มาของเขาส่วนใหญ่เกิดเพราะเมาและมันเปียกมาก ฮยองวอนรู้สึกว่าเขามึนหัวตอนที่วอนโฮถอนจูบออก

“เดินทางปลอดภัยนะครับคนดี” วอนโฮบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆ ฮยองวอนพยักหน้า เลื่อนตัวเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับและลดกระจกลงเพื่อโบกมือให้วอนโฮ อีกคนโบกมือตอบ เมื่อวอนโฮเดินลับสายตาไป ฮยองวอนพิงศีรษะลงกับพนักพิงและตะโกนออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ

เดทที่ดีที่สุดในชีวิตของฮยองวอนทำไมต้องเกิดกับคนแปลกหน้าด้วยวะสัส แม่งไม่เข้าใจ

ฮยองวอนเคยคิดว่าเขาจะไม่บอกมินฮยอกเกี่ยวกับที่เขาออกไปข้างนอกมา แต่ทันทีที่มินฮยอกถามเกี่ยวกับสูท (“มึงบอกกูว่ามึงจะไปเดท แต่กูไม่เห็นรู้ว่าต้องใส่สูทด้วยนี่หว่า!”) ฮยองวอนเลยหลุดปากออกมา

“เหี้ยเอ๊ย!” มินฮยอกตะโกนและกระโดดไปมาบนเตียง “เหี้ยเอ๊ย! แล้วมึงจะทำจริงอะ?”

“ก็น่าลองนะ” ฮยองวอนบอก ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วถอนหายใจออกมาตอนที่มินฮยอกร้องตะโกนมาจากอีกฟากของห้อง “เอาน่า มึงใจเย็นดิวะ”

"ไม่มึง นี่มันเรื่องใหญ่! มึงเคยเชื่อกูแล้วเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นด้วยเหรอ? นี่เราประสบความสำเร็จนะเว้ย!"

“...ก็ใช่ ใช่ แต่กูจะโทรหาเขาพรุ่งนี้ กูคิดว่านะ แล้วบอกว่าเขาตกลง แค่ลองดู” ฮยองวอนเอามือทึ้งหัวตัวเอง “นี่มันสั่นประสาทมากๆ เลยว่ะ จริงๆ”

“ฟังดูเหมือนจะใช่ แต่กูเฉยๆ นะ เพราะงานกูก็มี แล้วก็มีแฟนแล้วด้วย บางที วันนึงมึงอาจจะได้ทั้งงานแล้วก็แฟนเลยก็ได้นะ”

“มึงเงียบปากไปเลยไป”

ความกังวลกลายเป็นความตื่นเต้นแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนภายในร่างกายของฮยองวอน เขาครางออกมาเมื่อได้สัมผัสกับวอนโฮและร่างของทั้งสองแนบสนิทกัน

สิ่งแรกที่ฮยองวอนเอ่ยหลังจากวอนโฮล้มตัวลงนอนข้างๆ เขาคือ “เชี่ยเอ๊ย” ถอนหายใจออกมาเร็วๆ วอนโฮหัวเราะ เอื้อมมือไปจับปอยผมที่ปรกใบหน้าของคนตรงหน้าไปทัดหู

“ดีมั้ย?” วอนโฮถามด้วยน้ำเสียงพอใจเหมือนกับที่ฮยองวอนรู้สึก

“โคตรๆ”

วอนโฮยิ้ม ขยับตัวเข้าหาฮยองวอนและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเขาทั้งคู่ “โทษทีนะ ลืมถามว่ากอดได้รึเปล่า”

“เฮ้ย ผมโอเคกับทุกอย่างแหละ คุณเพิ่งให้เซ็กส์ที่ดีที่สุดกับผมมานะ แค่กอดนี่เทียบไม่ติดเลย”

สรุปว่าฮยองวอนเลยนอนค้างที่นั่น และตื่นเพราะข้อความของมินฮยอกที่ส่งข้อความแตกตื่นกระวนกระวายเป็นห่วงเขา ฮยองวอนบอกให้เขาใจเย็นๆ วอนโฮชวนเขาให้ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อน แต่ฮยองวอนบอกไปว่าเขามีเรียนคาบเช้า (ซึ่งก็ไม่ได้โกหกนะ เว้นแต่ว่ามันอีกสามชั่วโมงถึงจะเริ่มเรียน จริงๆ เขามีเวลาเหลือเฟือในการทานอาหารเช้าแหละ แต่เขาแค่อาย)

มันรู้สึกเหมือนกับ one-night stand ปกติ แต่ความคิดที่ว่าอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง (อย่างแน่นอน) นั้นค่อนข้างแปลกใหม่มากสำหรับเขา ส่วนใหญ่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในคืนที่เขาเมานั้นไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ และจบแบบโคตรไม่สวย และฮยองวอนเองก็ไม่เคยพูดกับคนเหล่านั้นหลังจากที่พวกเขามีอะไรกันแล้ว ยังไงซะ นี่มันยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ฮยองวอนจะต้องปรับตัว

วอนโฮจูบที่แก้มของฮยองวอนก่อนเขาจะออกไป และมันทำให้ในใจของฮยองวอนอบอุ่นในทางแปลกๆ และเขาก็เกลียดมัน

ฮยองวอนไม่ได้มีความรู้สึกแปลก จนกระทั่งวันที่เขาบอกเลขบัญชีธนาคารกับวอนโฮเพื่อให้เขาโอนเงินมาให้ และเห็นเงินเกือบหมื่นในบัญชีของเขา

“โห กูแม่งโคตรกระหรี่เลย” ฮยองวอนพูดออกมาหน้าตาเฉยในขณะที่เขามองยอดเงินในบัญชี มินฮยอกที่อยู่ด้วยกันขำพรืดออกมา

“แต่มึงก็เป็นกระหรี่ที่รักเดียวใจเดียวดีนะ”

“มึงเงียบปากไปเลยไป”

ในช่วงเวลาสัปดาห์สั้นๆ ฮยองวอนก็มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเทอมไปได้อีกสองปี แล้วนั่นมันก็น่ากลัว น่ากลัวเอามากๆ

“คุณไม่เข้าใจอ่ะ ผมเคยมีเงินแค่ไม่กี่ร้อยในบัญชี” ฮยองวอนอธิบายในระหว่างที่วอนโฮมองมาที่เขาเหนือขอบแก้วช็อคโกแลตปั่นที่พวกเขากำลังแบ่งกันกิน เป็นเดทที่ค่อนข้างอบอุ่นในร้านอาหารธรรมดาๆ ที่ฮยองวอนคุ้นเคย แล้วเขาก็รู้สึกดีมากๆ

“จะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่เลย” วอนโฮบอกในระหว่างจัดแก้วบนโต๊ะ

“นี่ไม่รู้เหรอว่าเขามีหลอดให้ใช้น่ะ”

“ช่างแม่งมันไปสิครับ”

ฮยองวอนหัวเราะเบาๆ วอนโฮยิ้มให้เขา “ช่างแม่งหลอดแล้วก็อะไรต่อมิอะไรมันไปเถอะครับ เนอะ คุณแฟนคนดี”

“นี่คือเราคบกันแล้วใช่มั้ย?” วอนโฮแกล้งแหย่ ฮยองวอนพยักหน้า

“ก็ใช่แหละมั้ง แต่ยังต้องจ่ายตังค์นะ”

“เดทกันเขาไม่ทำแบบนี้นี่”

“ก็ช่างแม่งมันไปสิครับ”

ติดแท็ก #ฟิคแปลโรสไวน์ ไว้สกรีมหรือคอมเม้นติชมได้เลยนะคะ :)

ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ

Avatar

[TransFiction] Mood Swings

Mood Swings [Monsta X] Couple: hyungwonho 2,663 words Rate: M Vampire AU 

รักกับแวมไพร์ที่น่าหวาดกลัวที่สุดในเกาหลีใต้ ใช่เรื่องมั้ยเนี่ย

NOTE:

- Translated into Thai from the original fiction of @vampirehansol  http://vampirehansol.tumblr.com/post/129033975406/mood-swings-monsta-x-hyungwonho http://archiveofourown.org/works/4845614 - ฟิคที่ถูกแปลทั้งหมดทางเราได้รับอนุญาตจากผู้แต่งแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกเรื่องและทุกตอนจะมีการแนบลิ้งค์ไปยังต้นฉบับ ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

 ฮยองวอนชอบที่จะออกไปข้างนอกในเวลาดึกๆ แบบนี้ เวลาที่ทุกอย่างรอบตัวเขาเย็นเฉียบและเงียบสงบ การได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองนั้นช่างลื่นหูอย่างน่าประหลาด มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นผู้อยู่อาศัยในความมืด ไม่ใช่มนุษย์อย่างที่เป็นอยู่

เขารู้สึกกำลังถูกจ้องมอง ไหล่ของเขาหนักอึ้ง และรู้สึกถึงความตายกำลังใกล้เข้ามา ที่นี่ไม่ใช่เมืองของเขา และเขาเองก็รู้ดี

แต่เขาก็มีการป้องกันในระดับหนึ่งที่ทำให้เขาเดินอย่างเต็มความสูงผ่านส่วนนี้ของเมืองไปได้ เพราะเขาเป็นของวอนโฮ วอนโฮเป็นแวมไพร์ที่น่าเกรงขามที่สุด สายตาที่หิวกระหายทุกคู่ที่จ้องฮยองวอนในคืนนี้รู้กันดีว่าถ้าแตะต้องตัวฮยองวอนเมื่อไหร่ จะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่

ฮยองวอนเลี้ยวขวาที่ร้านขายดอกไม้ ตรงไปในตรอกที่จะพาเขาไปสู่ที่อยู่ของวอนโฮ ฝาท่อระบายน้ำที่ฮยองวอนรู้วิธีเปิด (มีชะแลงซ่อนอยู่หลังถังขยะ) และบันไดเชื่อมลงไปใต้ดินที่ฮยองวอนไม่ต้องไต่ลงไปโดยใช้วิธีคลำหาในความมืด ไม่อีกต่อไปแล้ว

ผู้คนที่อาศัยอยู่ใต้ดินแห่งนี้ที่เมื่อก่อนเคยเต็มไปด้วยกลิ่นของท่อน้ำทิ้ง แต่ตอนนี้มีเพียงกลิ่นชื้นๆ ของใต้ดิน คงมีแต่พวกแวมไพร์แล้วก็พวกไร้บ้าน ฮยองวอนเห็นแสงที่อบอุ่นเล็กๆ มาจากทางขวาของเขา แสงสว่างถูกจุดขึ้น และผู้คนต่างมองที่โทรศัพท์ของตนเอง ฮยองวอนอยากจะบอกว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องใช้แสงสว่างเพื่อนำทางในนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เขาเองก็ไม่อยากจะสะดุดล้มร่างของคนที่นอนอยู่หรือเดินตกหลุม เขาจึงดึงโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดแสงแฟลชเพื่อนำทาง

กลายเป็นว่าแสงสว่างจ้าเกินไป เขาจึงต้องกระพริบตาเพื่อปรับสภาพสักพักแล้วค่อยเดินต่อ ที่อยู่ของวอนโฮอยู่ไม่ไกลนัก แค่เลี้ยวซ้ายอีกสองครั้งและเดินตรงไปตามทาง ประตูเปิดออกเมื่อฮยองวอนขยับลูกบิด แน่ล่ะ เพราะวอนโฮรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมา

กลิ่นของที่อยู่ของวอนโฮนั้นแตกต่างจากท่อใต้ดินข้างนอกนั่นมากทีเดียว มันทั้งอบอุ่นและดึงดูดใจ หรือบางอย่างที่ฮยองวอนคุ้นเคยกับมันแล้วในตอนนี้ มีเทียนจุดอยู่ในหลายๆ ส่วนของตัวบ้าน นอกเหนือจากที่ห้องโถง

ฮยองวอนปิดประตู เขาล็อคประตูเพื่อความแน่ใจก่อนจะถอดรองเท้า ปิดโทรศัพท์และเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท

“วอนโฮ?” ฮยองวอนเรียก จริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องเรียกเลยด้วยซ้ำ เขารู้ว่าวอนโฮได้ยินว่าเขาเข้ามาแล้ว และวอนโฮคงจะพล่ามอะไรไร้สาระถ้าเขาไม่แสดงตัวในเร็วๆ นี้

เสียงกระซิบ “ไงครับที่รัก” ดังขึ้นที่ข้างหูทำให้ฮยองวอนตกใจ หมุนตัวไปทันเห็นวอนโฮกำลังยิ้มกว้างอยู่พอดี

“ไอ้บ้า” ฮยองวอนบ่น ตีไหล่ของวอนโฮเบาๆ แวมไพร์หนุ่มดึงฮยองวอนเข้ามาใกล้ จุมพิตเข้าที่แก้มแล้วตามด้วยริมฝีปาก

“ผมคิดถึงคุณ” วอนโฮพูดเสียงเบา พาตัวเขาเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วพาไปนั่งบนโซฟา

ฮยองวอนฮึมฮัมเป็นคำตอบ นั่งลงบนตักของวอนโฮ เขาประคองหน้าคนตรงหน้า ขยับหัวของวอนโฮเล็กน้อยเพื่อให้ตาของแวมไพร์กระทบกับแสงเทียน ฮยองวอนสังเกตเห็นว่าวอนโฮไม่ค่อยได้ทานอะไรบ่อยนักในช่วงนี้ “แค่เดือนละครั้งก็พองั้นเหรอ ไอ้บ้า” ฮยองวอนพึมพำแล้วก้มลงจูบวอนโฮเบาๆ

“ผมทนได้มากกว่าเดือนนึงอีกนะ” วอนโฮกล่าวขึ้นมาเงียบๆ และจูบที่หลังใบหูของฮยองวอน “ผมไม่ต้องการจะทำให้คุณลำบากใจไม่ว่าจะเป็นทางไหนครับที่รัก ผมถึงบอกให้คุณให้เลือดผมแค่เดือนละครั้งก็พอไง” เขาเอื้อมไปแกะกระดุมเสื้อโค้ทของฮยองวอนออก และฮยองวอนก็ปล่อยให้เขาทำอย่างว่าง่าย แค่วอนโฮก็ทำให้เขาอบอุ่นขึ้นมากแล้ว “ข้างบนเป็นไงบ้าง? ผมไม่ได้ขึ้นไปสักพักแล้ว ตั้งแต่คุณมาเป็นอาหารของผม ผมเลยไม่จำเป็นต้องขึ้นไปอีก”

 ฮยองวอนยักไหล่ ถอดเสื้อโค้ทของตัวเองออกแล้วทิ้งมันลงบนพื้น “ก็ไม่มีอะไร แต่เดี๋ยวก็จะปิดเทอมแล้ว เลยจะมาอยู่ด้วยประมาณ 2-3 อาทิตย์ เป็นไรมั้ย?”

วอนโฮพยักหน้า ไล้จมูกไปตามซอกคอของฮยองวอน “มากกว่าดีอีก บางทีอยู่ข้างล่างนี่ก็เหงา”

“อืม อยู่ข้างบนก็เหงาเหมือนกัน” ฮยองวอนบอก เอื้อมมือไปลูบเรือนผมของวอนโฮ “ทำเลยสิ ฉันมาก็เพื่อสิ่งนี้อยู่แล้วนี่”

วอนโฮกระชับอ้อมกอด ดึงฮยองวอนเข้ามาใกล้มากขึ้น และกดจูบลงเหนือจุดชีพจรของฮยองวอน “คุณกลิ่นเปลี่ยนไปนะ” วอนโฮเอ่ย เอียงหัวเล็กน้อยเพื่อให้ฮยองวอนได้ยินเขาพูดชัดขึ้น “โคโลญจ์ใหม่เหรอ?”

"อืม ขวดนั้นหมดแล้ว ก็เลยขโมยของดาซมมาใช้ก่อน เธอไม่รู้หรอก” ฮยองวอนยิ้ม เอียงหัวไปอีกทางเพื่อให้วอนโฮสะดวกมากขึ้น “ชอบรึเปล่าล่ะ?”

“ผมชอบอีกอันมากกว่า แต่อันนี้ก็หอมเหมือนกัน” วอนโฮพรมจูบไปตามคอและลาดไหล่ของฮยองวอน ดึงเสื้อตัวใหญ่ของคนตรงหน้าให้ตกไปข้างๆ ฮยองวอนคิดอยู่เสมอว่าการเตรียมการอะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่หอมหวานที่สุด เพราะวอนโฮไม่เคยทำให้ฮยองวอนรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชม บางทีก็ทำเขารู้สึกเป็นที่รัก

ถูกรักโดยแวมไพร์ที่น่าเกรงขามที่สุดในเกาหลีใต้ ใช่เรื่องมั้ยล่ะ

บางทีมันก็น่าหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้เกินจินตนาการมากจนเกินไป วอนโฮเคยอธิบายว่าเขาไม่ได้เหมือนกับแวมไพร์ที่ฮยองวอนเคยเห็นในโทรทัศน์ ที่ไร้ชีวิตและเย็นชา แวมไพร์เหล่านั้นมีอยู่จริง และแวมไพร์แบบวอนโฮเองก็มีด้วยเหมือนกัน แบบที่หายใจและมีชีวิตด้วยเลือดที่สูบฉีดอยู่ภายในร่างกาย วอนโฮยังบอกอีกว่า ส่วนใหญ่แวมไพร์ที่ไร้ชีวิตและเย็นชาพวกนั้นมีแต่ความพยาบาทและเคียดแค้น วอนโฮไม่เคยได้เป็นมนุษย์ เขาจึงไม่เคยถูกพรากความรู้สึกเหล่านั้นไป เขามีที่เหลือให้กับสิ่งอื่นมากกว่า

แต่ บางทีนั่นอาจจะเป็นฮยองวอนที่คิดมากไป หรืออยากจะให้สิ่งที่เขาหวังเกิดขึ้น ที่เป็นอยู่นี้เขาก็สบายดี แน่สิ 

ฮยองวอนถูกดึงขึ้นมาจากภวังค์ความคิด เพราะวอนโฮฝังเขี้ยวลงไปในผิวของเขา ทำให้ริมฝีปากของฮยองวอนเปล่งเสียงออกมาเบาๆ วอนโฮถอนปากออกมาเล็กน้อยพอให้เขี้ยวของเขาออกห่างจากไหล่ของฮยองวอน ริมฝีปากอุ่นของวอนโฮประทับลงบนผิวของเขา ลิ้นชื้นกวาดเก็บเลือดก่อนที่จะเปื้อนเสื้อของฮยองวอน

ฮยองวอนชอบสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด ความรู้สึกของความดิบที่คุ้นเคย การแบ่งปันบางสิ่งที่ทำให้เขาทั้งคู่มีชีวิตอยู่ แม้จะเป็นคนละแนวทางกัน นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำไมเขาถึงพิจารณามันหลังจากที่วอนโฮขอให้เขามาเป็นคู่ชีวิต และทำไมเขาจึงตกลงที่จะทำมันในระยะยาว มันทำให้เขารู้สึกมีค่าในทางที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ

แต่ ก็อีกนั่นแหละ บางทีนั่นอาจจะเป็นแค่เขาที่คิดมากไป

เขารู้สึกเหมือนเป็นนิรันดร์อยู่เสมอทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที แต่วอนโฮกลับหยุดไว้ด้วยการจูบและลูบหลังส่วนล่างของฮยองวอนเบาๆ วอนโฮมองหน้าเขา ตาของเขากลับมาเป็นสีน้ำตาลเข้มอีกครั้ง ฮยองวอนยิ้ม

“คุณช่างล้ำค่า” วอนโฮกระซิบ พลางวาดมือปัดผมหน้าของฮยองวอนให้ออกจากหน้าผาก “ช่างงดงาม ช่างดีกับผมมากเหลือเกิน”

“อย่ามาเลี่ยนนักเลย” ฮยองวอนบ่น ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดเลือดที่มุมปากของวอนโฮ “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ นายก็รู้ว่าฉันไม่ทำหรอกถ้าไม่อยากทำ ไม่ต้องมาทำดีกับฉันเลยน่า”

วอนโฮจุมพิตฮยองวอนอย่างแผ่วเบา ยิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังสัมผัสกัน จูบมีรสชาติเหมือนสนิม “ไม่ได้ทำดี มันคือการชื่นชมต่างหาก  ผมรู้สึก... รู้สึกสกปรกน้อยลง เพราะได้ทานเลือดแค่จากคุณ ผมอธิบายไม่ได้ แต่มันเป็นอะไรที่ควรขอบคุณกลับไป”

“หืม ละมุนจริงนะ” ฮยองวอนอ้อน หน้าผากของเขาทั้งคู่ชิดกัน “ขอบคุณที่อยากได้คือนายยอมให้ฉันนอนด้วยต่างหาก”

“อ่า... เอาสิครับ”

อยู่ในระหว่างช่วงปิดเทอมของฮยองวอน เขากำลังหลับสบาย และถูกปลุกให้ตื่นด้วยประโยคที่ว่า “อรุณสวัสดิ์ครับ สุดที่รัก ผมรักคุณนะ”

ฮยองวอนขยี้ตาและเงยหน้ามองวอนโฮโดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียง “อะไร?”

“ขอโทษจริงๆ ที่พูดออกมาตอนนี้ แค่อยากบอกก่อนจะลืมน่ะ” วอนโฮขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ เพื่อจูบหน้าผากของฮยองวอน หัวเราะเบาๆ เมื่อฮยองวอนโอบไหล่และดึงเขาลงให้นอนข้างๆ กัน

“นายปลุกฉันเพื่อมาทำตัวทึ่มๆ ให้ฉันดู” ฮยองวอนบ่น ซบหน้าลงที่ไหล่ของวอนโฮ

“ขออภัยครับที่รัก นอนต่อได้แล้วนะ” วอนโฮบอก ดึงฮยองวอนเข้ามากอด

ฮยองวอนนิ่งไปสักพัก หลับตาและหายใจอย่างสม่ำเสมอ ก่อนจะกระซิบว่า “ฉันก็รักนายเหมือนกัน เจ้าทึ่ม” เขายิ้ม “คราวนี้บอกมาว่าทำไมถึงรักฉัน”

“สั่งจังเลย” วอนโฮเอ่ย พลางลูบผมของฮยองวอน เขารู้ว่ามันเป็นเพียงมุกตลก ทุกสิ่งรอบตัวจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ฮยองวอนมีความสุข เขาผล็อยหลับไปหลังจากนั้น เขามีความสุขดีในอ้อมแขนของวอนโฮ ฟังเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ผ่านอกของเขา

ใช่เรื่องมั้ยล่ะ

ฮยองวอนชอบให้มีรอยช้ำและรอยเขี้ยวบนร่างกายของเขา แต่เขาไม่สามารถกลบรอยจุดสีเทาและชมพูบนคอและไหล่ของเขาได้ ถ้ามีใครได้เห็น พวกเขาจะรู้โดยทันที่ว่ามันคืออะไร ก็ไม่ได้ถึงกับจะต้องถูกจับเข้าคุกหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่ฮยองวอนก็ไม่ได้อยากจะรู้นักหรอกว่าเพื่อนๆ จะคิดอย่างไรกับเขา

ในตอนนี้เหมือนห่างไกลกันคนละโลก ยังไงซะ เขามีความคิดดีๆ แล้วว่าจะมีอะไรที่เมื่อมาอยู่บนร่างกายเขาแล้วจะดูดีขึ้นอีก

เขาตะโกนเรียกวอนโฮ รู้ดีว่าอีกคนจะได้ยินโดยที่เขาไม่ต้องเพิ่มระดับเสียงเลยด้วยซ้ำ แวมไพร์หนุ่มมาหาเขาโดยทันที ใบหน้าของเขามีแววตาเป็นห่วงเจืออยู่ ฮยองวอนพาเขาเข้ามา

“มีอะไรครับที่รัก?” วอนโฮถาม ยืนอยู่ด้านหลังฮยองวอนและโอบเอวเขาไว้อย่างหลวมๆ

“ไม่มีอะไร แค่...” ฮยองวอนเอื้อมมือผ่านไหล่ไป หยุดนิ้วเรียวใกล้ริมฝีปากของวอนโฮ “มือฉันสะอาดแล้วน่า” เขาบอก ก่อนจะเลื่อนนิ้วผ่านริมฝีปากของวอนโฮเพื่อเข้าไปหาเขี้ยวของเขา

“คุณกำลังทำอะไร?” วอนโฮถามเสียงอู้อี้ ก่อนที่ฮยองวอนจะกดปลายนิ้วลงบนเขี้ยวของวอนโฮ

“มันรู้สึกกระจอกถ้าจะขอให้นายกัดฉันตอนที่นายไม่ต้องการ” ฮยองวอนบอก ก็นะ ขนาดเขาฟังเองยังรู้สึกแปลกๆ เลย

วอนโฮยิ้มและงับนิ้วของฮยองวอน ดูดที่แผลเล็กนั่นเบาๆ “ไม่เห็นกระจอกเลย” วอนโฮบอกตอนที่ฮยองวอนดึงนิ้วออกจากปากของเขาแล้ว “ว่าแต่ ทำไมต้องเป็นในนี้ล่ะ?”

ฮยองวอนสบตาวอนโฮผ่านกระจก รู้สึกประหม่าเมื่อเห็นว่าตัวเองดูเขินอายและลุกลน “ฉ... ฉันอยากเห็นนี่ นายก็รู้ ฉันไม่เคยเห็นมันอ่ะ ฉันไม่ใช่ยีราฟนะเว้ย”

วอนโฮหัวเราะจนเห็นฟัน “ครับที่รัก” เขาหลับตาลงในระหว่างที่กดจูบลงบนไหล่ที่คั่นด้วยเสื้อของฮยองวอน ก่อนจะดึงปกเสื้อออกด้วยปากของเขา

“โห นี่ขี้เกียจขนาดไม่ใช้มือเลยเหรอ?” ฮยองวอนบอก 

“คุณกำลังทำให้เสียบรรยากาศอยู่นะ” วอนโฮพูดเสียงเบา หายใจรดผิวเนียนของจนฮยองวอนสะท้าน หัวใจเต้นถี่ยามมองวอนโฮในกระจกที่ไล้ฟันอันแหลมคมไปตามผิวของเขา ฮยองวอนไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะนี่เป็นเพียงแค่ครั้งแรก และวอนโฮเองก็เห็นได้ชัดมากว่าพยายามที่จะยั่วเขาอยู่

“เร็วสิ เจ้าบ้า นายนี่ม... อ๊ะ!” ฮยองวอนเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าเขาอยากจะเห็นตอนที่วอนโฮฝังเขี้ยวลงบนตัวเขา วอนโฮทำมันด้วยความอยากกระหาย ฮยองวอนเปล่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ ปกติแล้ววอนโฮจะทำอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน ฮยองวอนไม่เคยรู้สึกอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ แต่นี่มันทำให้ฮยองวอนเข่าอ่อน เขารู้สึกดีใจที่วอนโฮยังกอดเขาไว้อยู่

วอนโฮดื่มเลือดฮยองวอนไปเพียงหนึ่งหรือสองอึกเท่านั้น ก่อนจะดึงออกและจูบลงบนคอของฮยองวอน และเขามั่นใจได้เลยว่าวอนโฮตั้งใจที่จะไม่เลียริมฝีปากก่อนหน้านั้นเพื่อให้มีรอยสีแดงเลอะบนผิว บริเวณรอบๆ แผลที่กำลังมีเลือดไหลนั่น

“จูบ... จูบฉัน” ฮยองวอนพบว่าตัวเองแทบจะขอร้อง หันหน้าไปทันเวลาพอดีที่วอนโฮจะประทับริมฝีปากลงมา เป็นความกระหายเดียวกันต่อเนื่องมาที่จูบในครั้งนี้ ฮยองวอนรู้สึกเต็มตื้น ร่างกายขึ้นสีเพราะความร้อน และเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกดีใจที่วอนโฮยังกอดเขาไว้อยู่

วอนโฮกดริมฝีปากลงบนคออีกข้างที่ไม่มีแผลของฮยองวอน จุมพิตลงไปด้วยความรัก ในขณะที่ฮยองวอนเกาะเขาไว้และพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ “คุณรู้ไหม” วอนโฮหายใจ ไล้ริมฝีปากไปตามสันกรามของฮยองวอน “บางทีคุณก็เปราะบางเหลือเกินในอ้อมแขนของผม คุณช่างอ่อนไหว เบาบาง ผมอาจจะทำให้คุณเจ็บก็ได้ แต่คุณเชื่อใจในตัวผมมากเหลือเกิน”

ความรู้สึกหลายหลายผสมปนกันไปหมด ทั้งความรักและความปรารถนา ฮยองวอนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาจึงจูบที่หน้าผากของวอนโฮ และยิ้มเมื่อวอนโฮจูบเขาอย่างจริงจัง ไม่เร่าร้อนเหมือนครั้งก่อน

“นายบอกว่าฉันทำเสียบรรยากาศ” ฮยองวอนบอก ไล้มือผ่านเส้นผมของวอนโฮ “แล้วนายล่ะ?” 

“Touche, dearest, touche.”

ติดแท็ก #moodswingstheseries ไว้สกรีมหรือคอมเม้นติชมได้เลยนะคะ :)

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

You are using an unsupported browser and things might not work as intended. Please make sure you're using the latest version of Chrome, Firefox, Safari, or Edge.